บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์(AP)คงเป้ารายได้ปี 53 เติบโตอย่างน้อย 10% โดยนับจากนี้จนถึงสิ้นปี 53 บริษัทจะเปิดโครงการใหม่ 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2.1 หมื่นล้านบาท จากในช่วงต้นครึ่งปีหลังเปิดไปแล้ว 5 โครงการ และเตรียมเพิ่มงบลงทุนซื้อที่ดินเป็น 7 พันล้านบาท จากเดิมตั้งไว้ 4 พันล้านบาท
นายอนุพงษ์ อัศวโภคิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AP กล่าวว่า บริษัทคงเป้ารายได้ในปีนี้เติบโตอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 10% แต่ทั้งนี้คาดว่ารายได้ในครึ่งปีหลังจะลดลงจากครึ่งปีแรกเนื่องจากยอดรับรู้รายได้จะชะลอตัวลง แต่ในส่วนของยอดขายน่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง และบริษัทคาดว่าจะสามารถรักษาการเติบโตของรายได้ต่อเนื่องในปี 54-56 ในระดับ 10% หลังปรับแผนธุรกิจ
บริษัทจะมีการปรับแนวทางในการดำเนินธุรกิจทั้งในด้านบริการและตัวสินค้า โดยในด้านบริหารจะมีการแยกส่วนงานด้านการตลาดและการขายมาอยู่ส่วนกลาง ส่วนทางด้านสินค้าจะแยกดำเนินการเป็น 4 หน่วยธุรกิจตามประเภทของสินค้า แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว,ทาวน์เฮ้าส์, คอนโดมิเนียม และ ธุรกิจพัฒนาสินค้าประเภทอื่น ๆ ในเ segment ใหม่ที่ AP ไม่ได้ดำเนินการมาก่อน
เบื้องต้นจะพัฒนาทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียม ราคายูนิตละ 2 ล้านบาท บวก/ลบ ดำเนินการได้เต็มรูปแบบในไตรมาส 1/54 และ ไตรมาส 2/54 โดยบริษัทจะมีการจัดตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้างเพื่อสนับสนุนงานก่อสร้างโครงการใน segment ใหม่ เนื่องจากลูกค้าระดับล่างต้องการสินค้าที่รวดเร็ว โดยปกติแล้วการก่อสร้างโครงการแนบราบจะใช้เวลาประมาณ 8 เดือน แต่ segment จะใช้เวลาก่อสร้างน้อยลง
นายอนุพงษ์ กล่าวว่า ในช่วงนับจากนี้จนถึงสิ้นปีนี้จะมีการเปิดตัวโครงการในรูปแบบใหม่ 2 โครงการ จากแผนงานทั้งหมด 9 โครงการ ซึ่งทั้ง 2 โครงการที่มีดินแล้วย่านบางกรวย-ไทรน้อยและสุขสวัสดิ์ ระดับราคายูนิตละ 1.5 ล้านบาทบวก/ลบ ภายใต้ชื่อแบรนด์ใหม่ ส่วนที่เหลือเป็นโครงการคอนโดมิเนียม Rhythm 3 โครงการ และทาวเฮ้าส์ 3 โครงการ และบ้านเดี่ยว 1 โครงการ รวมมูลค่าโครงการทั้งหมด 2.1 หมื่นล้านบาท
ส่วนในช่วงต้นปี 54 จนถึงไตรมาส 2/54 ได้กำหนดแผนงานที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ไว้แล้วอีก 7 โครงการ มูลค่าประมาณ 8 พันล้านบาท
"ภายในอีกสัก 2 ปี ต้องการให้รายได้จากทุก ๆ BU มีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันที่ 25% จากปัจจุบันที่มีรายได้จากคอนโดฯ เป็นหลัก"นายอนุพงษ์ กล่าว
นายอนุพงษ์ กล่าวว่า บริษัทตั้งงบลงทุนซื้อที่ดินเพิ่มเป็น 7 พันล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายดิมที่ตั้งไว้ 5 พันล้านบาท โดยขณะนี้ซื้อไปแล้ว 4.5 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทรับรู้รายได้เข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อปลายปีก่อน ทำให้มีเงินลงทุนสำหรับซื้อที่ดินได้เพิ่มขึ้น และในอนาคตบริษัทก็คาดว่างบลงทุนซื้อดินมีโอกาสจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวแน่นอน