โบรกเกอร์เนะ"ซื้อ"หุ้นบมจ.อาปิโก ไฮเทค(AH)หลังประเมินผลดำเนินงานปี 53 โดดเด่น โดยเฉพาะกำไรงวด 2Q53 ออกมาดีเกินคาด เนื่องจากคำสั่งซื้อที่เข้ามาต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของธุรกิจยานยนต์ และแรงหนุนจาก Eco car เข้ามาเสริม คาดดีต่อเนื่องในปี 54 คาดกำไรปีหน้าเติบโต 6-10%
อีกทั้ง AH ยังเป็นหุ้นที่ยอดขายและมาร์จิ้นที่ดีเพราะด้วยกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากออร์เดอร์ใหม่ สอดคล้องภายใต้โรงงานใหม่อีก 2 โรงที่จะทยอยเดินเริ่มเครื่องผลิตสินค้า ตั้งแต่ครึ่งปีหลัง 53 หนุน - ราคาหุ้นที่ต่ำกว่า BV ทำให้ตัวหุ้นยังมีความน่าสนใจลงทุนต่อเนื่อง
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย บล.เกียรตินาคิน ซื้อ 18.34 บล.เคจีไอ ซื้อ 18.30 บล.ยูไนเต็ด ซื้อ 17.40 บล.เอเชียพลัส ซื้อ 17.05 บล.ฟิลลิป ซื้อ 16.30
นายดิษฐนพ วัธนเวคิน นักวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า บริษัทได้ปรับประมาณการกำไรและราคาเหมาะสมปี 53 หุ้น AH เพิ่มขึ้นเป็น 18.34 บาท จากเดิมที่ 11.86 บาท เนื่องจากมองภาพบวกและภายใต้ความโดดเด่นจากเดิมค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ดีขึ้นมาก และคาดว่าจะต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง โดประเมินการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 53 จะเติบโต 40-60% มาที่ 1.4-1.6 ล้านคัน และยังมีแนวโน้มต่อเนื่องใน 4-5 ปีข้างหน้าจากความต้องการของผู้บริโภค และยอดการผลิตรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเห็นได้จากค่ายรถยนต์ต่างๆมีปริมาณออเดอร์เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานของ AH ไตรมาส 2/53 มีกำไร 117 ล้านบาท ดีกว่าที่เราคาดการณ์ถึง 77% ทำให้เรามองเห็นศักยภาพในการเติบโตที่ดีในอนาคต จึงปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 381 ล้านบาทในปีนี้ พลิกจากขาดทุน 109 ล้านบาทในปี 52 และคาดว่าปีนี้ AH จะมียอดขายกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 56% จากปีก่อน
ขณะที่ยังมีตัวแปรสำคัญจากการทยอยเปิดตัวรถ Eco Car ของค่ายรถยนต์ต่าง ๆ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งการได้ออร์เดอร์ชิ้นส่วนยานยนต์ Model ใหม่จากลูกค้าเพิ่มขึ้น เช่น Mazda2, Nissan March และ Ford Fiesta เป็นต้น ทำให้ AH มีการใช้กำลังการผลิตผ่านจุดคุ้มทุนหลังจากที่บริษัทมีการลงทุนขยายกำลังการผลิตในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งในไตรมาส 2/53 ที่ผ่านมา AH มีการใช้อัตรากำลังการผลิตโดยรวมประมาณ 70-85%
บริษัทยังมีโรงงานใหม่อีก 2 โรงที่จะทยอยเดินเริ่มเครื่องผลิตสินค้าตั้งแต่ครึ่งปีหลัง 53 ซึ่งสามารถรองรับออร์เดอร์ได้เต็มที่ประมาณ 4 พันล้านบาท/ปี และความเด่นชัดในเรื่องการจ่าย Dividend Yield 4-5% ดังนั้นแนะนำ ซื้อ
นางสาวนวลพรรณ น้อยรัชชุกร นักวิเคราะห์ บล.เอเชียพลัส กล่าวว่า AH ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของธุรกิจยานยนต์ และด้วยยอดขาย New High 1 หมื่นล้านบาท ภายใต้ราคาหุ้นที่ต่ำกว่า BV จึงเป็นหุ้นที่น่าสนใจลงทุน เนื่องจากปัจจัยขับเคลื่อนมาจากตลาดรถยนต์ในประเทศและส่งออกฟื้นตัวสูง หนุนให้การผลิตรถยนต์ปี 53 มีโอกาสเพิ่มเป็น 1.6 ล้านคัน หรือขยายตัว 60% yoy ทำให้ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ต้องเพิ่มการผลิตเป็น 2 กะและรับคนงานเข้ามาทำงานเพิ่ม ซึ่งถือเป็นผลดีต่อบริษัทให้ได้รับคำสั่งซื้อชิ้นส่วนรถยนต์จากทุกกลุ่มลูกค้าเข้ามามากขึ้น
นอกจากนี้ AH ยังมีการรับรู้รายได้จากออเดอร์ใหม่ที่ผลิตให้กับมาสด้า 2, นิสสัน มาร์ช รวมถึง ฟอร์ด เฟียสต้า ที่จะเริ่มผลิตใน 3Q53 มาช่วยหนุนรายได้เพิ่มอีกทาง สอดคล้องกับโรงงานใหม่ที่จะเริ่มผลิตงานชิ้นส่วน Press Parts เดือน ก.ย.53
ขณะที่ด้านธุรกิจในต่างประเทศ อย่าง มาเลเซีย และจีนที่มีสัดส่วนรายได้ 29% ของรายได้รวมก็มีแนวโน้มสร้างรายได้และกำไรมากขึ้น อีกทั้งยังได้รับแรงหนนุนจากโครงการอีโคคาร์ ที่ล่าสุดบริษัทได้รับคำสั่งซื้อใหม่จากชิ้นส่วนงานรถอีโคคาร์ของฮอนด้า นอกเหนือจากที่ได้รับจากนิสสัน ส่วนซูซูกิและโตโยต้า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาต่อรองเรื่องราคา
เชื่อว่าการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น รวมถึงสามารถปรับราคาขายสินค้ากับลูกค้าให้สอดคล้องกับราคาวัตุถดิบที่เพิ่มขึ้น น่าจะทำให้ Gross margin ยืนอยู่ได้ที่ระดับ 8% และมีกำไรเฉลี่ย 100 ล้านบาทต่อไตรมาส
ขณะที่บทวิเคราะห์ บล.ยูไนเต็ด แนะซื้อหุ้น AH เพราะด้วยผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดไว้โดยเฉพาะในไตรมาส 2/53 ทำให้เรามีมุมมองเชิงบวกต่อบริษัทมากขึ้น จนถึงเห็นการปรับประมาณการณ์กำไรทั้งปีเพิ่มขึ้น เนื่องจากมองว่าแนวโน้มในระยะยาวที่จะได้รับประโยชน์จากโครงการอีโคคาร์ เนื่องจากมีสัดส่วนลูกค้าที่กระจายอยู่ทุกค่าย โดยคาดว่ายอดผลิตรถโดยรวมใน 2H53 ไม่ต่ำกว่า 7.9 แสนคัน เพิ่มขึ้น 5-8% จากช่วง 1H53 ทำให้มีแนวโน้มที่ทั้งปีจะมียอดผลิตเป็น 1.6-1.7 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 60-70%
จากปัจจัยดังกล่าวทำให้คาดว่ากำไรปี 54 ยังเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน โดยคาดว่ากำไรจะเติบโต 6-10% จากปี 53 และปัจจุบันราคาหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี และยังเป็นหุ้น มี Upside 18% และมีผลตอบแทนเงินปันผลที่ดี
ขณะเดียวกันในด้านอัตรากำไรขั้นต้นดีก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 8.4% จากเดิมที่ 6.4% ในไตรมาสก่อน เนื่องจากการใช้กำลังการผลิตสูงขึ้นมาอยู่ในระดับ 70-95% ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำลง และมีค่าใช้จ่ายในการบริหารลดลงเป็น 132 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มเป็น 36 ล้านบาท จากเดิมที่ขาดทุน 7.4 ล้านบาทใน 2Q52 จึงแนะนำซื้อลงทุนได้