ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ ITD วงเงิน 2,500 ลบ.ที่ระดับ BBB+

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 8, 2010 10:48 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศผลอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 2,500 ล้านบาทของ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) ที่ระดับ “BBB+"

อันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ดังกล่าวใช้แทนอันดับเครดิต “BBB+" ที่ทริสเรทติ้งจัดไว้เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2553 สำหรับหุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาทของบริษัท เนื่องจากบริษัทตัดสินใจเพิ่มวงเงินหุ้นกู้อีกจำนวน 500 ล้านบาท ทั้งนี้ วงเงินที่เพิ่มขึ้นจะไม่มีผลกระทบต่ออันดับเครดิตและแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัท โดยบริษัทจะนำเงินทั้งหมดที่ได้จากการออกหุ้นกู้ใหม่ไปใช้ชำระคืนหนี้ที่มีอยู่กับสถาบันการเงินและชำระคืนหุ้นกู้ ITD109A

นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังประกาศยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “BBB+" ด้วย ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิตยังคง “Negative" หรือ “ลบ"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะที่แข็งแกร่งของบริษัทในการเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ตลอดจนการมีงานในมือที่ยังไม่ส่งมอบ (Backlog) จำนวนมาก ความสามารถในการรับงานก่อสร้างได้หลากหลายประเภททั้งในประเทศและต่างประเทศ การดำเนินธุรกิจที่ครบวงจรโดยขยายสู่การผลิตวัสดุก่อสร้าง รวมถึงนโยบายการลงทุนของภาครัฐในการก่อสร้างสาธารณูปโภคเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงแนวโน้มที่บริษัทจะสามารถลดภาระหนี้ลงได้โดยการขายเงินลงทุนในเขื่อนพลังน้ำน้ำเทิน 2 อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวของบริษัทมีข้อจำกัดบางส่วนจากความเสี่ยงด้านต้นทุนการก่อสร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่มีลักษณะของสัญญาแบบคงที่ (Fixed-price Contract) ระยะยาว ตลอดจนแรงกดดันในการทำกำไร ลักษณะของธุรกิจที่มีความผันผวนและเป็นวงจรขึ้นลง และภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับสูง

แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative" หรือ “ลบ" สะท้อนถึงภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับสูงและผลประกอบการที่อ่อนแอแม้จะปรับตัวดีขึ้นในหลายไตรมาสที่ผ่านมา อันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากบริษัทไม่สามารถปรับปรุงผลประกอบการให้ดีขึ้นและสร้างความสม่ำเสมอ รวมทั้งไม่สามารถลดภาระหนี้ได้ตามแผน

ITD เป็นผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สถานะผู้นำตลาดของบริษัทเกิดจากการมีผลงานเป็นที่ยอมรับ การมีสัมพันธภาพที่ดีกับลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน การประหยัดจากขนาด ความสามารถในการผลิตวัตถุดิบสำคัญที่เพียงพอ การมีเครื่องจักรและอุปกรณ์ก่อสร้างที่ครบครัน ตลอดจนการมีวิศวกรและช่างที่มีทักษะสูงจำนวนมาก

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 บริษัทมีรายได้รวม 18,279 ล้านบาท ธุรกิจของบริษัทแบ่งสายงานออกเป็น 9 ประเภท โดยมีสาขาในต่างประเทศ 3 แห่งคือประเทศไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และอินเดีย และมีบริษัทย่อยในต่างประเทศ 4 แห่งในประเทศพม่า อินเดีย อินโดนีเซีย และมาดากัสการ์

แม้ว่ากลยุทธ์ในการขยายธุรกิจก่อสร้างไปในต่างประเทศจะช่วยให้บริษัทมีรายได้ที่เพียงพอในช่วงธุรกิจก่อสร้างในประเทศชะลอตัว แต่กลยุทธ์ดังกล่าวก็เพิ่มความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยให้แก่บริษัทด้วยเช่นกัน

มูลค่างานในมือที่ยังไม่ส่งมอบของกลุ่มบริษัท ณ วันที่ 19 สิงหาคม 2553 อยู่ที่ 87,916 ล้านบาท ซึ่งรวมถึงโครงการชนะการประมูลที่รอลงนามในสัญญาอีกจำนวน 1,303 ล้านบาท โดยประมาณ 64% ของงานในมือเป็นโครงการที่อยู่ในต่างประเทศซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในอินเดียและอินโดนีเซีย

นอกเหนือจากการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศแล้ว บริษัทยังขยายงานไปสู่ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง เช่น เหล็ก คอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูป และปูนซีเมนต์ด้วย แม้การดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรจะช่วยลดต้นทุนให้แก่บริษัท โดยเพิ่มอำนาจการต่อรองกับผู้จัดหาวัตถุดิบและลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนวัตถุดิบ แต่ก็ไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงด้านวงจรธุรกิจของงานรับเหมาก่อสร้างแต่อย่างใด นอกจากนี้ การลงทุนในธุรกิจที่มีต้นทุนสูงเช่นธุรกิจผลิตปูนซีเมนต์ยังส่งผลทำให้ฐานะการเงินของบริษัทอ่อนแอลงเนื่องจากภาระหนี้ในงบการเงินรวมเพิ่มสูงขึ้น

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า แม้ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างจะมีผู้ประกอบการจำนวนมาก แต่ก็มีผู้รับเหมาเฉพาะบางกลุ่มเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์จากอุปสรรคในการเข้าสู่ธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ ผู้รับเหมาที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์เบื้องต้นเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์เข้าไปร่วมประมูลโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐได้ ดังนั้น โอกาสที่ผู้รับเหมารายใหญ่ที่สุด 3 รายจะชนะการประมูลโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐจึงมีความเป็นไปได้สูงจากการมีผลงานที่เป็นที่ยอมรับและได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงิน

โครงการระบบขนส่งมวลชนและโครงการเหมืองซึ่งบริษัทมีความเชี่ยวชาญและมีความพร้อมในด้านเครื่องจักรเป็นอย่างดีน่าจะช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่บริษัทในอนาคตระยะปานกลาง นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะร่วมประมูลในโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการที่เริ่มดำเนินการทั้งในประเทศไทยและอินเดียด้วย

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 ITD รายงานผลขาดทุนที่ 66 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้ที่ลดลงและการเพิ่มขึ้นอย่างมากของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร รายได้ของบริษัทลดลง 14% เมื่อเทียบปีต่อปี มาอยู่ที่ 18,279 ล้านบาท ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการที่รายได้จากการก่อสร้างภายในประเทศลดลง ในขณะที่รายได้ก่อสร้างในต่างประเทศยังคงอยู่ในระดับสูง

ถึงแม้ว่าบริษัทจะได้รับแรงกดดันจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ระดับสูง โดยเฉพาะในส่วนของการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ อัตรากำไรจากการดำเนินงานเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนก็ปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากโครงการก่อสร้างที่ขาดทุนได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว และในช่วงนี้ก็ไม่มีแรงกดดันจากการปรับตัวขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้าง โดยอัตรากำไรก่อนค่าเสื่อมราคาและตัดจำหน่ายปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 8.91% จาก 6.06% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน

ภาระหนี้ของบริษัท ณ เดือนมิถุนายน 2553 ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงสิ้นปี 2552 ทั้ง ๆ ที่ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 ปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการที่บริษัทย่อยในต่างประเทศมีภาระหนี้ที่สูงขึ้น โดยเฉพาะ ITD Cementation India Ltd. (ITDCem) ซึ่งมีการใช้เงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานสูงขึ้นจากการมีงานก่อสร้างเพิ่มขึ้น โดยภาระหนี้ของบริษัท ณ เดือนมิถุนายน 2553 อยู่ที่ 25,415 ล้านบาท เปรียบเทียบกับภาระหนี้ที่ 24,968 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2552 อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทอยู่ที่ 68.98% ภาระหนี้ที่สูงทำให้ดอกเบี้ยจ่ายเป็นภาระที่หนักของบริษัท

อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 1.98 เท่า เปรียบเทียบกับ 1.63 เท่าในปี 2552 ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้และกระแสเงินสดของบริษัทจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นภายในไตรมาสที่ 4 ของปีหลังจากการขายเงินลงทุนใน Nam Theun 2 Power Co., Ltd. (NTPC) ซึ่งอยู่ที่ประเทศลาวเรียบร้อยแล้ว โดยบริษัทคาดว่าจะได้รับเงินประมาณ 3,500 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าที่ได้ประมาณการไว้เนื่องจากการแข็งค่าของเงินบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ