โบรกเกอร์ แนะนำ"ซื้อ"บมจ. โตโย-ไทย คอร์ปอเรชั่น(TTCL)เชื่อกลับมาสดใสหลังปัญหามาบตาพุดชัดเจน และแนวโน้มได้งานใหม่เข้ามาประมาณ 1 หมื่นล้านบาทขึ้นไปเพิ่มงานในมือ (Backlog) สนับสนุนให้รายได้และกำไรปี 54 เติบโตอย่างชัดเจน จากปี 53 ที่ลดลงไป
นอกจกานี้บริษัทกำลังพิจารณาเข้าลงทุนธุรกิจโรงไฟฟ้า คาดเห็นในปีหน้า เป็นส่วนเสริมรายได้ต่อเนื่อง ขณะเดียวกันเป็นบริษัทที่ปลอดหนี้ อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นยังมี upside เมื่อเทียบกับหุ้นรับเหมารายอื่น
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท)
บล.เอเซียพลัส ซื้อ 11.00
บล.ฟิลลิป ซื้อ 10.60
บล.กิมเอ็ง ซื้อ 10.50
บล.ทรีนิตี้ ซื้อ 10.00
นักวิเคราะห์ จากบล.เอเซียพลัส กล่าวว่า TTCL กลับมามีโอกาสได้งานเพิ่มขึ้นหลังจากประเด็นปัญหามาบตาพุดมีข้อสรุปแล้ว จะช่วยทำให้งานในมือของบริษัทเพิ่มขึ้นและหนุนรายได้กำไรในปีหน้า
ปัจจุบันบริษัทมีโครงการเข้าประมูล 14 โครงการทั้งในและต่างประเทศ มูลค่า 5.45 หมื่นล้านบาท โดยมีอัตราความสำเร็จ 1 ใน 3 ของงานที่เข้าประมูลในจำนวนนี้มี 4 โครงการที่เป็นโครงการในมาบตาพุด มูลค่า 6.3 พันล้านบาท ซึ่งบางโครงการ TTCL เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุด บางโครงการเป็นงานส่วนต่อขยาย บางโครงการเป็นของลูกค้าเก่า
บริษั่มีงานรอเซ็นสัญญา 8.5 พันล้านบาทในปีนี้ และคาดว่าจะมีงานใหม่รอเซ็นในปีหน้า ประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท ขณะที่ปัจจุบันมีงานในมือ(Backlog) 7 พันล้านบาท โดยจะรับรู้รายได้ในครึ่งปีหลัง 4 พันล้านบาท ที่เหลือจะรับรู้ในปีหน้า
ทั้งนี้ คาดว่าในปี 53 จะมีกำไรสุทธิ 313 ล้านบาท และปีหน้าจะเพิ่มเป็น 377 ล้านบาท ส่วนรายได้ปี 53 ลดลงจากปีก่อนมาอยู่ที่ 7,100 ล้านบาทจากงานที่โครงการมาบตาพุดชะลอไป แต่ปีหน้าจะเพิ่มเป็น 9,700 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทเตรียมลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้า ขนาดเล็กคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 40 ล้านเหรียญ ในปี 54 คาดว่าบริษัทจะเข้าไปถือหุ้นบางส่วน
"บริษัทมองโอกาสลงทุนเพิ่ม มีเงินสดในมือเยอะมาก เป็นบริษัทไม่มีหนี้สิน บวกกับมีเงินลงทุนระยะสั้น 2.7 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทกำลังธุรกิจโรงไฟฟ้าอยู่ เขากำลังศึกษา ก็มีคนเสนอเข้ามา ก็ถือว่าน่าสนใจ เพราะถ้าสนใจจริง โตโยไทยก็จะได้ประโยชน์ทั้งสองทาง ทางแรกในฐานะผู้รับเหมา เมื่อโรงไฟ้าเสร็จก็จะรับส่วนแบ่งกำไรเข้ามา" นักวิเคราะห์ กล่าว
ด้าน บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) มีมุมมองที่เป็นบวกต่อ TTCL ถึงแม้ว่าจะมีการปรับรายได้และกำไรสุทธิของปี 53 ลง 31% เป็น 7,200 ล้านบาท และ 7% เป็น 302 ตามลำดับ แต่ประโยชน์ที่ได้รับจากการเข้าร่วมประมูลงานในนิคมมาบตาพุดหลังจากผู้ประกอบการเริ่มกลับมาดำเนินงานปกติ คาดจะทำให้ปี 54 บริษัทกลับมาฟื้นตัวโดดเด่นโดยคาดมีรายได้และกำไรสุทธิเติบโต 48% yoy เป็น 10,680 ล้านบาท และ 38% yoy เป็น 420 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่คาด Backlog สะสมในปี 54 จะเริ่มสูงขึ้นอยู่ในระดับที่ใกล้เคียง 1 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ด้วยความแข็งแกร่งของฐานะการเงิน ทำให้คาดว่าบริษัทมีโอกาสที่จะขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ ในอนาคตเพื่อต่อยอดการเติบโตได้
TTCL ซึ่งเป็นผู้รับเหมาแบบครบวงจร EPC (Engineering/Procurement/Construction) และเชี่ยวชาญด้านปิโตรเคมีและพลังงานจะได้รับประโยชน์มากที่สุดรายหนึ่งจากจำนวนงานที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น โดย TTCL จะทำการยื่นซองประมูลโครงการภายในนิคมมาบตาพุดรวม 7—8 โครงการมูลค่า 16,000—17,000 ล้านบาทและโอกาสที่จะชนะประมูลเป็นมูลค่างานประมาณ 5,500-6,000 ล้านบาท(อัตราส่วนความสำเร็จ 1ใน3) โดยคาดว่าจะรู้ผลการยื่นซองในช่วงปลาย Q4/53 ถึง Q1/54
บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย)มองแนวโน้มงานใหม่รอเซ็นในครึ่งหลังปี 53 ดีขึ้น โดยงานต่างประเทศหลายโครงการยังเจรจาต่อเนื่อง อาทิเช่น โรงปุ๋ยที่เวียดนาม (5 พันล้านบาท), โครงการปิโตรเคมีของ SCG (6.5 พันล้านบาท), งานโรงงานที่อินโดนีเซีย (2.5 พันล้านบาท) รวมมูลค่างานที่เป็นศักยภาพทั้งสิ้น 1.3-1.4 หมื่นล้านบาท
ส่วนงานในประเทศจะออกมามากขึ้นหลังจากศาลยกฟ้องกรณีมาบตาพุด ทาง บริษัทคาดหมายลูกค้าในมาบตาพุดที่มีแผนขยายโรงงานอยู่แล้วจะเริ่มออกมามากขึ้น เช่น PPT Phenol 2 (6 พันล้านบาท), การขยายและปรับปรุงโรงงานของ IRPC (2.5-3 พันล้าน บาท), โครงการขยายกำลังการผลิต LLDPE 1 พันล้านบาท
งานใหม่ที่ออกมาข้างต้นน่าจะชดเชยความล่าช้าในการเจรจาโครงการโรง ปุ๋ยที่มอรอคโค มูลค่า 4 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ โครงการก่อสร้างเหล่านี้จะมีระยะเวลาการก่อสร้างเพียง 2-3 ปี เทียบกับโรงปุ๋ยที่ใช้เวลา 5-6 ปี กระแสรายได้จากโครงการใหม่จะสร้าง Momentum ของรายได้ให้เติบโตได้เช่นกัน