นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทยกล่าวในการสัมมนา"ดัก Fund Flow ต่างชาติ ซื้อก่อน-โกยกำไรก่อน"ว่า ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ใช้มาตรการควบคุมเงินทุนไหลเข้า-ออกเพื่อแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างมาก เนื่องจากเม็ดเงินต่างชาติยังมีแนวโน้มที่จะไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเอเชียและไทยอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายปีนี้ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังเอื้ออำนวย โดยเฉพาะการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูง และบริษัทจดทะเบียนในเอเชียมีกำไรเติบโตดี
สำหรับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทนั้น ภาพรวมขณะนี้ทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนปรับตัวดีขึ้น แม้กระทั่งกลุ่มพลังงาน ที่เคยมองว่าจะได้รับกระทบ แต่เนื่องจากบริษัทพลังงานขนาดใหญ่ส่วนใหญ่มีเงินกู้เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ส่งผลให้นักวิเคราะห์หลายรายจะมีการปรับเพิ่มประมาณกลุ่มพลังงานขึ้นจากกำไรอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าว
ส่วนกลุ่มส่งออกที่ได้รับผลกระทบนั้น มองว่ากลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงมีมุลค่าส่งออกไม่มากนัก เช่น สินค้าทูน่า ยาง และสินค้าเกษตร อีกทั้งบริษัทส่งออกขนาดใหญ่ก็จะทำประกันความเสี่ยงไว้แล้วประมาณ 70-80% ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ส่วนอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ที่ราคาหุ้นปรับลงมา ก็ไม่ใช่เพราะกังวลค่าเงินบาท แต่เป็นการขายเพื่อเปลี่ยนไปลงทุนในหุ้นพลังงาน
นายกวี กล่าวว่า นับจากนี้ไปจนถึงปลายปี ตลาดหุ้นไทยน่าจะยังอยู่ในช่วงขาขึ้น และช่วงต้นปี 54 ดัชนีจะขึ้นแรงมีโอกาสไปถึง 1,000 จุดได้ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจาก january effect เป็นช่วงที่ fund flow จะไหลเข้าต่อถึงต้นปีหน้า ซึ่งหากประเมินจากที่ MSCI ได้ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทย 2.5% จากล่าสุดเมื่อ 9 ก.ย.อยู่ที่ 2% น้ำหนักที่จะเพิ่มขึ้น 0.5% คาดว่าน่าจะมีเม็ดเงินต่างชาติเข้ามาอีก 3-4 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงสำคัญของตลาดหุ้นไทยคือเรื่องการเมือง ที่ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีกหรือไม่ แต่การที่ทางการยังคง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
"เงินยังไหลเข้าเอเชียอีกนาน แต่ระหว่างทางจะผันผวนบ้างไม่เป็นไร ขอการเมืองนิ่ง ถ้านิ่ง ประเทศไทยก็จะเหมาะมากกับการที่เม็ดเงินจะเคลื่อนย้ายเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่พูดมาเสมอว่าจะย้ายฐานการผลิตมาที่ไทย กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมก็จะได้รับผลดี รับเม็ดเงินจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ"นายกวี กล่าว
นางอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(ไทย) กล่าวว่า เงินบาทที่แข็งค่าไม่ได้น่าเป็นห่วงมาก แต่คิดว่ารัฐบาลควรจะใช้มาตรการที่เหมาะสมเข้ามาดูแล แต่ไม่ใช่การใช้ capital control และรัฐบาลก็ไม่ควรปล่อยให้ธปท.ทำงานเพียงลำพัง แต่ควรใช้มาตรการอื่นเข้ามาช่วย เช่น มาตรการการคลัง เป็นต้น ขณะที่สิ่งที่ ธปท.จะทำได้ก็คือชะลอการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งในภาวะเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นไปเร็ว
เมื่อวานนี้ค่าเงินบาทแข็งค่าสุดในรอบ 13 ปี เสนอแนะให้รัฐบาลสนับสนุนให้บริษัทเอกชนลงทุนนำเข้าเครื่องจักรใหม่ เพราะได้เปรียบจากค่าเงินบาทแข็งค่าทำให้นำเข้าได้ในราคาที่ถูกลง ซึ่งจะส่งผลให้ดุลการค้าสมดุลด้วย ควรจะปรับโครงสร้างจุดนี้มากกว่าสกัดกั้นเงินทุนนำเข้า เพราะการยิ่งแทรกแซงค่าเงินก็เป็นการท้าทายนักค้าเงิน
อย่างไรก็ตาม มองว่ามีโอกาสที่เงินบาทจะแข็งทะลุจุดเดิมที่เคยไว้ที่ 30.50 บาท/ดอลลาร์ในปลายปีนี้ แต่ระยะนี้การแข็งค่าอาจจะถูกแตะเบรกลงไปบ้างแล้ว โดยอาจจะแข็งค่าคราวละ 5-10 สต.ในระยะ 1-2 เดือนนี้ เนื่องจากต่างชาติเริ่มชะลอเพราะเกรงว่าไทยจะมีมาตรการออกมา และจะไปปรับแข็งค่าขึ้นอีกทีหากการประชุมธนาคารกลางสหรัฐประกาศความชัดเจนในการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบอีก
"เงินบาทปลายปี 30.50 มีสิทธิจะแข็งค่ากว่านี้ขึ้นกับการเมืองและการตัดสินใจของธปท."นางอุสรา กล่าว