โบรกเกอร์ส่วนใหญ่แนะ"ซื้อ"หุ้นบมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์(QH)ด้วยคาดการณ์ผลงานโดดเด่นในช่วงครึ่งปีหลังทั้งในแง่กำไรและรายได้ที่น่าจะออกมาดีกว่าครึ่งปีแรก ครึ่งปีหลังสดใสจากเปิดโครงการใหม่จำนวน 14-16 โครงการ มูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท มากกว่าจำนวนโครงการในครึ่งปีแรก
พร้อมปรับกำไรสุทธิปี 53 เพิ่มเป็น 2.2 พันล้านบาทจากเดิม 1.8 พันล้านบาท หลังคาดว่าไตรมาส 4/53 มีการรับรู้รายได้จากโครงการ QH หลังสวน ประกอบกับ สถานการณ์การเมืองสงบ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคฟื้นตัว และเชื่อว่าความต้องการยังมีอยู่สูง
อย่างไรก็ดี QH ยังน่าสนใจด้วยอัตราผลตอบแทนการจ่ายเงินปันผล 5-6% ต่อปี
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) บล.กสิกรไทย ซื้อ 3.25 บล.เกียรตินาคิน ซื้อ 3.24 บล.ไทยพาณิชย์ ซื้อ 3.14 บล.ฟินันเซียไซรัส ซื้อ 3.10 บล.ดีบีเอสฯ ซื้อ 3.04 บล.โกลเบล็ก ซื้อลงทุน 3.00
น.ส. วิชุดา ปลั่งมณี นักวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน แนะนำ"ซื้อ"หุ้น QH แม้ผลประกอบการ 2Q53 อ่อนตัวลงจากการรับรู้รายได้คอนโดมีเนียมที่ลดลง แต่เราเชื่อว่าแนวโน้มธุรกิจสดใสมากขึ้นในครึ่งปีหลัง(H2/53)จนถึงปีหน้า(54)เพราะจะมีการเปิดขายโครงการใหม่มาก และ QH ก็สามารถเจาะตลาดได้ทุกกลุ่มเป้าหมาย นอกจากนี้ ผลประกอบการงวดไตรมาส 3/53 ก็คาดว่าจะดีขึ้นจากรายได้ service apartment ที่ปรับตัวขึ้นเร็ว
ทั้งนี้ มองว่าในไตรมาส 4/53 จะเป็นไตรมาสที่โดดเด่นที่สุดของปีนี้ ด้วยการรับรู้จากโครงการคอนโดมิเนียม QH หลังสวนในช่วง 2H53 ประมาณ 700 ล้านบาท และการปรับตัวด้วยการกระจายสินค้าระดับกลาง-ล่าง ภายใต้แบรนด์"The Trust"นอกเหนือจากแบรนด์ที่บริษัทพัฒนาโครงการอยู่ ซึ่งเป็นการเพิ่มลูกค้าและยังเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทในอนาคตด้วย
การฟื้นตัวของผลประกอบการจะเกิดขึ้นใน 2H53 จากยอดขายแนวราบที่มากขึ้น ขณะเดียวกันยังมีส่วนแบ่งที่เพิ่มขึ้นจากบริษัทลูกที่เข้าไปลงทุนที่คาดว่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่องทั้งบมจ.โฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์(HMPRO) บมจ.แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ควอลิตี้ เฮ้าส์(QHPF)เป็นสินทรัพย์แฝงที่สร้างความมังคั่งให้กับบริษัท โดยส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม 253 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 25% YOY
ดังนั้น เราจึงมีการปรับกำไรสุทธิของปี 53 เพิ่ม 8% มาที่ 2,079 ล้านบาท และคาดว่าบริษัทจะสามารถจ่ายปันผลของปี 53 ในอัตรา 0.15 บาท/หุ้น ให้ผลตอบแทน Dividend Yield 6.2%
นอกจากนี้ การที่ใน 2H53 มีการเปิดโครงการใหม่ต่อเนื่องอีก 16 โครงการ บริษัทยังคงแผนการเปิดตัวโครงการต่อเนื่องทั้งจากแนวราบใน Brand QH จำนวน 7โครงการ มูลค่า 12,236 ล้านบาท และยังมีคอนโดมิเนียมที่เปิดตัวพร้อมขายคือ QH-หลังสวน ที่เลื่อนการเปิดตัวไปใน 4Q53 และ QH สาธรที่มียอดขายได้แล้วกว่า 96% รวมทั้งยังมีโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิด Presale 2 แห่งคือ Casa Condo ท่าพระ 1-2 และ Casa สุขุมวิท 97 มูลค่าทั้ง 2 แห่งรวม 1,058 ล้านบาทโดยรวม ทั้ง 16 โครงการมูลค่ากว่า 37,100 ล้านบาท จึงมีความโดดเด่นในการลงทุน และยังมี UP-Side 12-13%
นักวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า เรามีมุมมมองในเชิงบวกต่อหุ้น QH และแนะนำ"ซื้อ"ลงทุนในระยะยาว โดยาร ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 53 เพิ่มขึ้น 22% เป็น 2.2 พันล้านบาท จากเดิม 1.8 พันล้านบาท ซึ่งเติบโต 30% YOY กำไรสุทธิในครึ่งปีแรกปีนี้มีแล้ว 1,387 ล้านบาท คิดเป็น 62% ของประมาณการกำไรสุทธิใหม่ทั้งปี แม้ในไตรมาส 2/53 ที่ผ่านมากำไรสุทธิจะลดลงก็ตาม
เนื่องจากความคืบหน้าในการเปิดขายโครงการคอนโดมีเนียมคิวหลังสวนมูลค่ารวม 3.5 พันล้านบาทจำนวนทั้งหมด 177 หน่วยที่ขายได้แล้วประมาณ 15 หน่วย และทางผู้บริหารเองก็คาดว่าจะถึงปลายปี 53 มีโอกาสขายได้ 30 หน่วย จึงทำให้เราปรับเพิ่มการคาดการณ์รายได้จากคอนโดมีเนียมที่จะรับรู้ในปีนี้เพิ่มจาก 2.5 พันล้านบาทเป็น 2.94 พันล้านบาท "เชื่อว่าครึ่งปีหลังพรีเซลน่าจะดีขึ้นอย่างเห็นหน้าเห็นหลังเลย และดูว่าดีมานด์น่าจะ strong อยู่ เพราะว่าเศรษฐกิจก็กำลังฟื้นตัว การบริโภคภายในประเทศก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ความเชื่อมั่นก็ดีขึ้น ซึ่งปัญหาการเมืองเริ่มคลี่คลาย"นักวิเคราะห์ กล่าว
ขณะเดียวกันเรายังคาดว่ายอดขายจากโครงการแนวราบมีแนวโน้มที่ดีกว่าปี 52 จากการเร่งเปิดขายโครงการใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปี และการเปิดขายโครงการของบริษัทลูกภายใต้แบรนด์ใหม่"The Trust"ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท/หน่วยเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าระดับล่างที่มีฐานขนาดใหญ่ ถือเป็นการลงมาแข่งขันและได้เปรียบเมื่อเทียบกับรายอื่น รวมทั้งผลตอบแทนจากการลงทุนในบริษัทร่วมที่คาดว่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่องในอนาคต
จากปัจจัยดังกล่าวบริษัทจึงปรับเพิ่มราคาเหมาะสมจาก 2.70 บาทเป็น 3.24 บาทในปีนี้ ภายใต้การที่เราได้มีการปรับประมาณการกำไรสุทธิใหม่ทำให้ราคาเหมาะสมซึ่งอิง Prospect PER ที่ระดับ 12 เท่า และยังมี upside จากราคาตลาด ประกอบกับการถือหุ้นมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผล 5-6% ต่อปี
ด้านนักวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองว่า แนวโน้มกำไร QH จะสามารถฟื้นตัวขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจและความมั่นใจสถานการณ์ของประเทศที่มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคระดับสูงกลับมา และด้วยแผนการรุกเข้าตลาดที่อยู่อาศัยระดับล่าง ซึ่งเป็นตลาดที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยอยู่มาก จะช่วยเพิ่มรายได้อีกส่วนหนึ่งให้กับ QH ในอนาคต
นอกจากนี้เรายังมองในเชิงบวกต่อแนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นใน 2H53 ที่จะดีขึ้นจาก 1H53 ที่อัตรากำไรเฉลี่ย 28.5% เนื่องจากโครงการที่จะขายและรับรู้ใน 2H53 จะมีอัตรากำไรขั้นต้นเป็นปกติประมาณ 30% จากในช่วง 1H53 ที่ปิดโครงการทาวเฮ้าส์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่า 20% ขณะที่การวางแผนซื้อที่ดินต่อเนื่อง ทำให้ได้เปรียบคู่แข่งภายใต้กระแสเงินสดที่มีอยู่มาก โดยเฉพาะที่ดินในส่วนที่จะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมเพราะมาร์จิ้นดี
และ QH ยังมีผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่องจากการลงทุนในบริษัท ต่างๆโดยเฉพาะ LH bank ที่ถือหุ้นอยู่ 26% และมีแผนจะเข้าจะทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปลายปี 53 หรือประมาณ 1/54 และคาดว่าจะเพิ่มทุนประมาณ 5 พันล้านบาท โดย QH ใส่เงินเพิ่มทุนครบแล้ว 700 ล้านบาทในเดือนเม.ย ที่ผ่านมา
การเช่าเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ก็มีสัญญานการฟื้นตัว หลังจากซบเซาไปในช่วงเม.ย-พ.ค โดยอัตราเข้าพักเพียง 30% แต่ปัจจุบันอัตราการเข้าพักปรับขึ้นมาเฉลี่ย 60-70% สำหรับ 7 ตึก แต่ส่วนของราชดำริฟื้นช้ากว่า เพราะอยู่ในทำเลที่มีผลกระทบโดยตรง โดยมีอัตราการเข้าพักที่ 49% ซึ่งบริษัทคาดว่าในช่วง 4/53 อัตราการเข้าพักน่าจะปรับขึ้นมาถึงระดับ 80% ได้เพราะเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยมาก