ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวก 81.36 จุดรับข่าวบาเซิลเพิ่มการดำรงกองทุนแบงค์พาณิชย์

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday September 14, 2010 06:49 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (13 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับข่าวคณะกรรมการบาเซิลมีมติให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มการดำรงเงินกองทุนขั้นที่ 1 ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้มีแรงซื้อส่งเข้าหนุนหุ้นกลุ่มธนาคารอย่างคับคั่ง นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากยอดขาดดุลงบประมาณของสหรัฐเดือนส.ค.ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และข้อมูลภาคการผลิตที่แข็งแกร่งของจีน

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 81.36 จุด หรือ 0.78% แตะที่ 10,544.13 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 12.35 จุด หรือ 1.11% ปิดที่ 1,121.90 จุด และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 43.23 จุด หรือ 1.93% ปิดที่ 2,285.71 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กและตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 6.9 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 3 ต่อ 1

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคักเนื่องจากปัจจัยที่หลากหลาย รวมถึงข่าวที่ว่าคณะกรรมการบาเซิลด้านการกำกับดูแลภาคการธนาคาร มีมติให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มการดำรงเงินกองทุนคุณภาพสูงสุด หรือกองทุนขั้นที่ 1 (Tier 1 capital) ตามเกณฑ์บาเซิล 3 (Basel III) เป็น 7% ของสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับปัจจุบันที่กำหนดไว้เพียง 2% โดยมีเป้าหมายที่จะป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตการณ์การเงินในอนาคต และเพื่อสร้างความมั่นใจว่าธนาคารจะมีเงินทุนเพียงพอในการต้านทานภาวะวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยไม่ต้องนำเงินภาษีราษฎรมาใช้ในการแก้ไขปัญหาด้านการเงินขององค์กรเหมือนกับที่ผ่านมา

นักลงทุนมีท่าทีพึงพอใจที่คณะกรรมการบาเซิลให้เวลาธนาคารพาณิชย์ไปจนถึงเดือนม.ค.2562 ในการปรับตัวและระดมทุนอย่างเพียงพอต่อข้อกำหนด ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานกว่าที่ธนาคารหลายแห่งเคยคาดการณ์ไว้

กองทุนขั้นที่ 1 ประกอบไปด้วยหุ้นและกำไรสะสมที่มีมูลอย่างน้อย 4.5% ของทรัพย์สินโดยรวม ซึ่งนอกเหนือจากการดำรงกองทุนขั้นที่ 1 ให้ได้ 7% ของสินทรัพย์เสี่ยงแล้ว คณะกรรมการบาเซิลยังกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มเม็ดเงินในทุนสำรองกันชน (capital conservation buffer) เป็น 2.5% ของสินทรัพย์ เพื่อให้ธนาคารสามารถต้านทานภาวะวิกฤตในอนาคตได้ ซึ่งหากธนาคารพาณิชย์รายใดไม่สามารถเพิ่มเงินในกองทุนกันชนได้ตามกำหนด ก็จะต้องเผชิญกับข้อจำกัดในการจ่ายเงินปันผลหรือโบนัส หรืออาจจะต้องระงับการจ่ายเงินปันผล

ข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้นแข็งแกร่ง โดยหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ปิดพุ่ง 3.4% หุ้นแบงค์ ออฟ อเมริกา ปิดบวก 3%

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้แรงหนุนจากรายงานของกระทรวงการคลังสหรัฐที่ว่า ยอดขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐในส.ค.มีอยู่ทั้งสิ้น 9.053 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ที่ 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์ และลดลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ระดับ 1.0356 แสนล้านดอลลาร์

ขณะที่สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) รายงานว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค.ของจีน ขยายตัว 13.9% จากเดือนก.ค.ที่ขยายตัว 13.4% และยอดค้าปลีกเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 18.4% ต่อปี สู่ระดับ 1.26 ล้านล้านหยวน (1.854 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ)

หุ้นฮิวเลตต์-แพคการ์ด (เอชพี) ปิดพุ่ง 8 เซนต์ แตะที่ 38.28 ดอลลาร์ ขณะที่หุ้นอาร์กไซท์ อิงค์ ปิดทะยานขึ้น 25% หลังจากมีข่าวว่าเอชพีจะซื้อหุ้นอาร์กไซท์ อิงค์ มูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันอังคาร กระทรวงพาณิชย์จะเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนส.ค. และตัวเลขสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนก.ค. วันพุธ กระทรวงแรงงานจะเปิดเผยราคานำเข้าและส่งออกเดือนส.ค.ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเปิดเผยดัชนีภาวะธุรกิจโดยรวม (Empire State Index) เดือนก.ย.และข้อมูลการผลิตในภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค.

วันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนส.ค. และเฟดจะเปิดเผยผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจเดือนก.ย. ส่วนวันศุกร์ สหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนส.ค.และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนก.ย.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ