นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ( LH ) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ากำไรสุทธิในปีนี้มากกว่าปี 52 ที่มีกำไรสุทธิ 3.9 พันล้านบาท เนื่องจากผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้น และมีกำไรจากการลงทุนน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 พันล้านบาทสูงกว่าที่คาดไว้ เพราะบริษัทที่เข้าลงทุนมีผลประกอบการที่ดี และยังมีแนวโน้มการขยายตัวต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาธุรกิจที่บริษัทเข้าลงทุนสามารถสร้างมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมเพิ่มขึ้นเป็น 2.2 หมื่นล้านบาท จากเม็ดเงินลงทุน 1.2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ 8 พันล้านบาท และส่วนที่เหลือ 4 พันล้านบาทเป็นการลงทุนบริษัทนอกตลาด ซึ่งรวมถึง LH bank ด้วย
"กำไรสุทธิปีนี้น่าจะมากกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะกำไรที่มาจากการลงทุนน่าจะมากที่สุด เพราะแต่บริษัทก็มีผลการดำเนินงานที่ดี ส่วนหุ้น Q-CON ที่ก่อนหน้านี้ขายไปแล้วส่วนที่เหลือที่ถืออยู่จะขายหรือไม่คงดูก่อน คงจะยังตอบไม่ได้ แต่หุ้นตัวอื่นที่เราลงทุนก็สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับเรา ส่วนการลงทุนในต่างประเทศคงต้องดูอย่างรอบคอบ"นายนพร กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ายอดรับรู้รายได้ในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายเติบโตใกล้เคียง 15% ซึ่งในปีนี้จะแตกต่างจากที่ผ่านมา เพราะจะมียอดขายจากการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมเข้ามาเพิ่มเป็นยอดขายรอโอน(backlog)ในปี 54-55
รวมทั้งการเปิดแบรนด์ใหม่ 3 แบรนด์ ได้แก่ "THe KEY"เป็นคอนโดมิเนียม มูลค่าโครงการรวม 3-4 พันล้านบาท คาดจะเปิดขายในไตรมาส 4/53 ใน 3 ทำเล ย่านพหลโยธิน ประชาชื่น และแจ้งวัฒนะ ราคาขาย 1.5-2.0 ล้านบาท/ยูนิต , แบรนด์"INIZIO"มูลค่าโครงการรวม 700-800 ล้านบาท ย่านรังสิตคลองสาม เป็นบ้านเดี่ยว ราคาเริ่มต้น 2.5 ล้านบาท/ยูนิต และแบรนด์"อินดี้"คาดจะเห็นโครงการในช่วงปลายปี-ต้นปีหน้า เป็นทาวน์เฮ้าส์ ราคาขาย 1.5 ล้านบาท/ยูนิต ย่านประชาอุทิศและบางนา
นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่พักอาศัย"โอกาส"บนพื้นที่ 17 ไร่ที่หัวหิน มูลค่า 1.7-1.8 พันล้านบาท เริ่มขายในไตรมาส 4/53 รวมทั้งการมองโอกาสพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ในต่างจังหวัดเพิ่มเติมทั้งเชียงใหม่ เขาใหญ่ และหัวหิน
นายนพร กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนเปิดโครงการทั้งหมด 19 โครงการ มูลค่ารวม 2-3 หมื่นล้านบาท ส่วนภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้ามีสิ่งที่ต้องพิจารณาคือ อัตราดอกเบี้ย ค่าเงินบาท และภาวะเศรษฐกิจ รวมทั้งเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติที่ประเมินว่าน่าจะเป็นการเข้ามาในตลาดตราสารหนี้มาก
ขณะเดียวกัน ในปีนี้บริษัทมีแผนในการเพิ่มงบซื้อที่ดินใหม่อีก 1 พันล้านบาท จากเดิมที่ตั้งงบไว้ 6 พันล้านบาท โดยการซื้อที่ดินจะพิจารณาจากโครงการภาครัฐที่จะเกิดขึ้นเป็นส่วนประกอบด้วย