โบรกเกอร์ส่วนใหญ่หนุน"ซื้อ"หุ้น บมจ.ทาทา สตีล(ประเทศไทย)(TSTH)ปรับคำแนะนำ เป็น "ซื้อ" รวมทั้งปรับเพิ่มราคาเป้าหมายขึ้นด้วย หลังจากมีมองมุมบวกราคาเหล็กฟื้นตัวหลังผ่านจุดต่ำสุดแล้ว คาดราคาเริ่มขยับขึ้นในปลายปีนี้ตามภาวะเศรษฐกิจโลกและการก่อสร้างโครงการใหญ่ในประเทศ ทำให้ปีนี้(เม.ย.53-มี.ค.54)สามารถพลิกกลับมามีกำไรได้จากปีก่อนที่ขาดทุน
แต่มองว่าผลประกอบการปีนี้ยังไม่ดีที่สุด เพราะมีโรงถลุงเหล็กที่ยังใช้กำลังการผลิตไม่เต็มที่ หากอนาคตออร์เดอร์เข้าดีขึ้นก็จะสามารถเพิ่มการผลิตขึ้นได้ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนของบริษัทได้เป็นอย่างดี
ราคา TSTH ปิดช่วงเช้าที่ 1.90 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง โดยระหว่างเทรดช่วงเช้าราคาปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 1.91 บาท
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.เคจีไอ ซื้อ 2.49 บล.ดีบีเอส ซื้อ 2.48 บล.ทรีนิตี้ ซื้อ 2.30 บล.โกลเบล็ก ซื้อ 2.26 บล.ซิกโก้ ซื้อ 2.20 บล.กิมเอ็ง ถือ 2.20 บล.ยูไนเต็ด ถือ 2.15
นายบุรพัฒน์ จรัสฉิมพลีกุล รองผู้จัดหารฝ่ายวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน บล.ซิกโก้ คาดว่า ราคาเหล็กได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และเชื่อว่าในปี 54 ราคาเหล็กมีแนวโน้มปรับขึ้นอย่างน้อย 5-10% เพราะดีมานด์ดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว โดยเฉพาะยุโรปที่ปัญหาต่าง ๆ เริ่มคลี่คลาย และจีนที่ก่อนหน้าได้ชะลอความร้อนแรงเศรษฐกิจ
แต่ว่าหุ้นเหล็กในประเทศไตรมาสนี้ยังไม่ค่อยดี เพราะผู้ประกอบการสต็อกเหล็กไว้มากในช่วงที่ราคาเหล็กขึ้นไปก่อนที่จะปรับลงมา ช่วงนี้จึงมีการระบายของเก่า ราคาเหล็กจึงยังไม่ปรับขึ้น เพราะมีซัพพลายในตลาดอยู่พอสมควร อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าซัพพลายเหล็กปลายปีนี้น่าจะลดลง และราคาในตลาดก็น่าจะปรับขึ้นตามราคาเหล็กในตลาดโลกที่ปรับขึ้นไปก่อนหน้านี้แล้ว
"เชื่อว่าผลประกอบการของ TSTH น่าจะฟื้นตัว แต่ตัวโรงถลุงเหล็กจะเป็นปัจจัยสำคัญ...เราได้กลับคำแนะนำเป็น ซื้อ ราคาเป้าหมาย 2.20 บาท จากเดิมแนะให้ ถือ ราคาเป้าหมาย 1.80 บาท"นายบูรพัฒน์ กล่าว
ทั้งนี้ ในงวดปี 54(สิ้นสุด มี.ค.54)คาดกำไรสุทธิ 680 ล้านบาท จากปีก่อนที่ขาดทุน 54 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี โรงถลุงเหล็กยังเดินเครื่องผลิตได้ไม่เต็มที่ ซึ่งตอนนี้อยู่ในช่วงการทดลอง ยังมีต้นทุนค่อนข้างสูง ซึ่งผู้บริหารยังไม่รับปากว่าจะใช้เวลานานเท่าไร
ด้านนายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยได้เปลี่ยนคำแนะนำเป็น"ซื้อ"ที่ 2.48 บาท จากเดิม"เต็มมูลค่า"เนื่องจากคาดว่าความต้องการใช้เหล็กในและต่างประเทศเพิ่มขึ้น ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและการก่อสร้าง ขณะที่ราคาขายจะทยอยขยับขึ้น ซึ่งมองว่าราคาเหล็กได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
ดังนั้น จากปีก่อนที่ TSTH ขาดทุนจะกลับมามีกำไรในปีนี้ โดยประเมินกำไรสุทธิ 1,141 ล้านบาท และปีหน้าจะมีกำไรเพิ่มเป็น 1,550 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี โรงถลุงเหล็กของบริษัทยังใช้กำลังการผลิตไม่เต็มที่ เพราะราคาเหล็กยังไม่ดีและไม่มีออเดอร์มาก แต่หากความต้องการใช้เหล็กเพิ่มขึ้นจะทำให้โรงถลุงเหล็กสามารถใช้งานได้เต็มที่และช่วยลดต้นทุนให้บริษัทได้
บล.ยูไนเต็ด มองว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/54(รอบบัญชี ก.ค.-ก.ย.53)ยังไม่สดใสนัก จากปริมาณขายทรงตัวในระดับ 1 แสนตัน/เดือน เป็นการชะลอตัวตามฤดูกาลและการก่อสร้างโครงการภาครัฐล่าช้า ส่งผลให้ความต้องการใช้เหล็กยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ประกอบกับ ราคาขายเฉลี่ยปรับลดลงเป็น 20.2 บาท/ก.ก. จากเดิมเฉลี่ยที่ 20.9 บาท/ก.ก.ในไตรมาสก่อน แต่คาดว่าแนวโน้มราคาเหล็กจะขยับตัวดีขึ้นในช่วงปลายปีนี้ เนื่องจากความต้องการเหล็กในประเทศจะกลับมากระเตื้องขึ้น
"เราคาดว่าผลประกอบการ ไตรมาส 2/54 ต่ำกว่าไตรมาสก่อนที่ 28 ล้านบาท และอาจมีโอกาสขาดทุนได้ถ้าหากราคาเหล็กปรับตัวลง แต่คาดว่ากำไรปี 53/54(รอบบัญชีเม.ย.53-มี.ค.54)เท่ากับ 386 ล้านบาท พลิกจากขาดทุน 54 ล้านบาทจากปีก่อน แต่อย่างไรก็ตาม จากความไม่มีประสิทธิภาพของโรงถลุงเหล็กทำให้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับต่ำ จึงทำให้ผลประกอบการต่ำกว่าที่คาดไว้"
ขณะที่ บล.ทรีนิตี้ มองความต้องการเหล็กในประเทศยังอ่อนแอจากผลกระทบของฤดูฝนและคำสั่งซื้อของผู้รับเหมาที่ยังล่าช้าอยู่ รวมถึงมีโอกาสที่ผู้ค้าเหล็ก(Traders)จะชะลอคำสั่งซื้อในไตรมาส 4 ของทุกปีเพื่อลดปริมาณสินค้าคงเหลือลง
อย่างไรก็ดี คาดผลประกอบการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามลำดับโดยเฉพาะในช่วงต้นปีหน้า จากความต้องการใช้เหล็กเส้นในงานก่อสร้างที่เริ่มกลับมาเป็นปกติ และราคาเหล็กในตลาดโลกฟื้นตัว โดยคาดไตรมาส 2/54 จะมีกำไรจากการดำเนินงานประมาณ 200-250 ล้านบาท
TSTH ได้รับประโยชน์จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เพราะบริษัทฯต้องนำเข้าวัตถุดิบประเภทเศษเหล็ก รวมถึงสินแร่เหล็กและถ่านหิน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 70% ของต้นทุนทั้งหมด