(เพิ่มเติม) MAX คาดยอดขายปี 53 ราว 600 ลบ. พลิกมามีกำไร หวังล้างขาดทุนสะสมหมดปี 54

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday September 16, 2010 15:21 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.แมกซ์ เมทัล คอร์ปอเรชั่น(MAX)คาดว่าหลังจากบริษัทปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจจากเครื่องจักรกลเกษตรมาเป็นธุรกิจค้าเหล็กตั้งแต่ปลายปี 52 ทำให้ทิศทางการเติบโตของรายได้เป็นที่น่าพอใจ คาดว่ายอดขายตลอดปี 53 อยู่ที่ 600 ล้านบาท และมีแนวโน้มการเติบโตในทิศทางที่สอดคล้องกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยได้รับปัจจัยหนุนจากนโยบายภาครัฐที่โหมกระตุ้นระบบเศรษฐกิจด้วยโครงการเมกะโปรเจ็คต์และการกระจายเงินไปสู่ภาคท้องถิ่นทั่วประเทศอย่างโครงการไทยเข้มแข็ง เชื่อว่าธุรกิจเหล็กจะมีอัตราเติบโตที่ดี

นายสิริวัฒน์ โตวชิรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MAX คาดว่า ในปีนี้ผลประกอบการจะพลิกเป็นกำไรได้จากปีก่อนขาดทุน 124 ล้านบาทที่มาจากการขายเครื่องจักรกลทางการเกษตร โดยปีนี้เริ่มมีกำไรจากการค้าเหล็ก ถึงแม้ครึ่งปีแรกยังมีขาดทุน 23.77 ล้านบาทที่เกิดจากธุรกิจเดิม แต่ครึ่งปีหลังบริษัทได้หยุดธุรกิจการขายเครื่องจักรกลเกษตรและล้างสต็อกหมดแล้ว ซึ่งจะทำให้หันมาดำเนินธุรกิจค้าเหล็กอย่างเดียวได้เต็มที่

"ตั้งเป้าปี 53 มียอดขายเหล็ก 600 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกขายได้ 280 ล้านบาท ไตรมาส 3 คาดว่าจะอยู่ที่ 150 ล้านบาท และทั้งปี 54 ตั้งเป้ายอดขายเติบโตอีกเท่าตัว หรือประมาณ 1,200 ล้านบาท"นายสิริวัฒน์ กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าปริมาณขายเหล็กในปีนี้ที่ 3 พันตัน โดยบริษัทมีทุนหมุนเวียน 75 ล้านบาท แต่ปีหน้าจะมีเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้นประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งมาจาการขายหุ้นเพิ่มทุน

นายสิริวัฒน์ กล่าวว่า สาเหตุที่หันมาทำธุรกิจเหล็ก เพราะเชื่อว่าธุรกิจจะเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งรัฐบาลก็พยายามกระตุ้นการลงทุนการใช้จ่าย และโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีม่วง ส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงิน และโครงการโรงงานมาบตาพุดดำเนินการได้ต่อหลังมีคำตัดสินของศาลแล้ว ทั้งนี้ ในอนาตต บริษัทจะเปลี่ยนหมวดธุรกิจในการซื้อขายหุ้น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอการพิจารณาของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)

ด้านนายชำนิ จันทร์ฉาย ประธานกรรมการ MAX กล่าวว่า บริษัทคาดหวังภายในปี 54 จะล้างขาดทุนสะสมทั้งหมดที่มีอยู่ 233 ล้านบาท โดยจะใช้กำไรจากการดำเนินงานเป็นหลัก ส่วนแนวทางการลดทุนจะเลือกใช้เป็นทางเลือกสุดท้าย

อย่างไรก็ตาม ลำพังการค้าเหล็กคงไม่เพียงพอ ดังนั้น บริษัทจะพิจารณาเข้าลงทุนธุรกิจอื่น เพื่อสร้างรายได้และกำไรเพิ่มเติม คาดว่าในปลายปีนี้น่าจะได้เห็นความชัดเจน ขณะเดียวกันจะศึกษาการลงทุนโรงงานเหล็ก โดยอาจจะเป็นเข้าซื้อกิจการ ซึ่งปัจจุบันบริษัทไม่ได้นำเข้าวัตถุดิบ แต่จะสั่งซื้อจากผู้ผลิตภายในประเทศ โดยอาศัยความสัมพันธ์ทางการค้า

ขณะที่การส่งออกแม้ว่าจะเพิ่มขึ้น แต่จะไม่รับออเดอร์ก่อนจะมีสินค้า ทั้งนี้ คาดว่าในปีนี้บริษัทจะมีอัตรากำไรขั้นต้นประมาณ 2%

"ภายใต้การแข่งขัน นอกจากดูภาวะโดยรวม ต้องดูคู่ค้าด้วย ตอนนี้เหล็กขาด เพราะโรงงานจะเก็บของรอราคาขึ้น แต่เราอาศัยสัมพันธภาพที่ดีของโรงงาน ทำให้ไม่มีปัญหา และเราไม่กลัวการแข่งขันที่รุนแรง" นายชำนิ กล่าว

นายชำนิ ยังกล่าวว่า กรณีที่นายฉาย บุนนาค นักลงทุนรายใหญ่เข้ามาถือหุ้นใน MAX น่าจะเป็นเพราะเห็นว่าบริษัทมีแนวโน้มดีขึ้น และผลประกอบการ turnaround เพราะธุรกิจค้าเหล็กดีกว่าครื่องจักรกลเกษตร แต่จะถือหุ้นในระยะยาวหรือซื้อเพิ่มหรือไม่ ยังไม่ทราบ โดย ณ วันที่ 10 ก.ย. นายฉาย ถือหุ้น MAX อยู่ 7.39%

อนึ่ง MAX ได้เปลี่ยนนชื่อบริษัทจากเดิม บมจ. อะโกร อินดัสเตรียล แมชชีนเนอรี่ (AMAC) เมื่อ 19 พ.ค.53

ราคาหุ้น MAX เมื่อเวลา 15.20 น.อยู่ที่ 0.53 บาท บวก 0.08 บาท (+17.78%) มูลค่าการซื้อขาย 141.83 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ