บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.สวนอุตสาหกรรมโรจนะ (ROJNA) ที่ระดับ “A-" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"
อันดับเครดิตสะท้อนถึงฐานรายได้ที่หลากหลาย ผลงานที่เป็นที่ยอมรับในธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรม รายได้ที่สม่ำเสมอจากการขายไฟฟ้าและสาธารณูปโภค ตลอดจนการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่และผู้ร่วมทุนสัญชาติญี่ปุ่น ทั้งนี้ ในการพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงลักษณะที่ผันผวนของธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมและภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีนที่ชะลอตัวในปัจจุบันด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนความคาดหมายว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะส่งผลให้มีความต้องการที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจโรงไฟฟ้าและสาธารณูปโภคของบริษัทจะเพิ่มกระแสเงินสดที่แน่นอนซึ่งจะช่วยลดความผันผวนของรายได้จากการขายโครงการคอนโดมิเนียมและที่ดินในสวนอุตสาหกรรมของบริษัท
ROJNA เป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมของประเทศไทยซึ่งก่อตั้งในปี 2531 โดยตระกูลวินิชบุตรและกลุ่มซูมิโตโม(Sumitomo Group)นอกเหนือจากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้งไฟฟ้า และสาธารณูปโภคแล้ว บริษัทยังดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมในประเทศไทยและประเทศจีนด้วย
ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมและคอนโดมิเนียมคิดเป็น 30% ของรายได้รวม ในขณะที่รายได้จากการขายไฟฟ้าและสาธารณูปโภคคิดเป็น 70% ปัจจุบันบริษัทเป็นเจ้าของและบริหารสวนอุตสาหกรรม 2 แห่งในจังหวัดอยุธยาและระยอง
ในช่วงปี 2550-2552 บริษัทมียอดขายพื้นที่ในสวนอุตสาหกรรมโดยเฉลี่ย 400-500 ไร่ต่อปี โดย ณ เดือนมิถุนายน 2553 มีพื้นที่ขายสะสมอยู่ที่ 5,826 ไร่ และมีพื้นที่ขายเหลืออีก 3,813 ไร่ซึ่งถือว่ามากพอที่จะรองรับการพัฒนาในอนาคตเมื่อพิจารณาจากอัตราการขายที่ดินเฉลี่ยที่ปีละ 500 ไร่
ROJNA ถือหุ้น 41% ใน บริษัท โรจนะ พาวเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าที่ตั้งอยู่ในพื้นที่สวนอุตสาหกรรมโรจนะอยุธยา และเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในสวนอุตสาหกรรมที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น บริษัทโรจนะ พาวเวอร์ จึงขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องจาก 122 เมกะวัตต์ในปี 2547 เป็น 267 เมกะวัตต์ในเดือนมิถุนายน 2553 โดย 90 เมกะวัตต์ขายให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer -- SPP) และส่วนที่เหลือขายให้แก่ลูกค้าเอกชนในสวนอุตสาหกรรม
ในช่วงปี 2552 จนถึงครึ่งแรกของปี 2553 บริษัทมีรายได้จากการขายไฟฟ้าและสาธารณูปโภคคิดเป็นประมาณ 2 ใน 3 ของรายได้รวม และคิดเป็น 45%-50% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย
ธุรกิจคอนโดมิเนียมของบริษัทในประเทศจีนมีความคืบหน้าในระดับค่อนข้างน่าพอใจแม้ว่ายอดขายจะชะลอตัวเนื่องจากในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 รัฐบาลจีนได้ดำเนินนโยบายแบบเข้มงวดในด้านการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินเพื่อที่จะควบคุมการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีน
โครงการอาคารสูงแห่งแรกของบริษัทคือ Kaina Business Plaza ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองฉางโจวประกอบด้วยคอนโดมิเนียมจำนวน 993 ยูนิตและโรงแรม 204 ห้อง โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2553 มียอดขายสะสมจำนวน 68% ของพื้นที่ขายทั้งหมด นับว่าชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับจำนวน 64% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2552 และ 67% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2553 ปัจจุบัน การก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์และอยู่ระหว่างการโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ลูกค้า ส่วนการก่อสร้างโรงแรมนั้นคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2553 นี้
นอกจากนี้ ในเดือนกันยายน 2552 บริษัทยังได้เปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมแห่งที่ 2 ภายใต้ชื่อ Kaina Overseas Chinese City ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับโครงการแห่งแรก โครงการดังกล่าวประกอบด้วยห้องชุดพักอาศัย 530 ยูนิตมูลค่ารวม 4,050 ล้านบาท การเปิดขายโครงการแห่งใหม่ถือว่าคืบหน้าเป็นอย่างดีท่ามกลางมาตรการที่เข้มงวดของภาครัฐที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีน โดย ณ เดือนมิถุนายน 2553 สามารถ ขายได้ถึง 284 ยูนิต หรือคิดเป็น 54% ของจำนวนห้องพักทั้งหมดในโครงการ ในขณะที่การก่อสร้างแล้วเสร็จไป 24%
ทั้งนี้ ความสำเร็จของธุรกิจคอนโดมิเนียมในประเทศจีนจะได้รับแรงกดดันจากนโยบายการให้สินเชื่อที่เข้มงวดของสถาบันการเงินและมาตรการใหม่ ๆ ที่รัฐบาลจีนอาจประกาศใช้เพื่อชะลอมิให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีนขยายตัวมากจนเกินไป
ฐานรายได้ที่หลากหลายและรายได้ค่าไฟฟ้าที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2552 ยังคงแข็งแกร่ง โดยบริษัทมีกำไรสุทธิ 757 ล้านบาท เติบโตถึง 26% จากปี 2551 เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นที่มีผลกำไรลดลงอย่างมากในช่วงเดียวกัน แม้ว่าการขายที่ดินในสวนอุตสาหกรรมของบริษัทลดลงเหลือ 394 ไร่ในปี 2552 จาก 510 ไร่ในปี 2551 แต่รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจคอนโดมิเนียมในประเทศจีนและรายได้จากการขายไฟฟ้าที่สม่ำเสมอช่วยชดเชยรายได้จากการขายที่ดินในสวนอุตสาหกรรมที่ลดลง
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 ผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รายได้รวมเพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 3,847 ล้านบาท โดยธุรกิจเกือบทุกประเภทมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขายที่ดินในสวนอุตสาหกรรมและการขายคอนโดมิเนียม ธุรกิจไฟฟ้าก็มีผลประกอบการที่เติบโตเช่นกัน โดยรายได้เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนตามอัตราการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของลูกค้า โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัท ดังนั้น กำไรสุทธิของบริษัทจึงเพิ่มขึ้น 86% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 347 ล้านบาทสำหรับช่วงครึ่งแรกของปี 2553
ตามปกติแล้ว สัดส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ในระดับสูงเนื่องจากการรวมธุรกิจไฟฟ้าซึ่งเป็นธุรกิจที่ใช้เงินกู้จำนวนมาก โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2553 บริษัทมีเงินกู้รวม 10,310 ล้านบาทหรือคิดเป็นสัดส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ 57% บริษัทมีแผนจะขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มอีก 164 เมกะวัตต์จากปัจจุบันที่ 267 เมกะวัตต์ โดย 52 เมกะวัตต์จะจำหน่ายให้แก่ผู้ใช้ภาคอุตสาหกรรม ส่วนอีก 112 เมกะวัตต์จะอยู่ภายใต้โครงการ SPP โรงไฟฟ้าทั้ง 2 โครงการจะเริ่มดำเนินการผลิตในปี 2556 และใช้เงินลงทุนรวม 7,300 ล้านบาทในระหว่างปี 2553-2556
และเมื่อรวมกับเงินลงทุนสำหรับการก่อสร้างคอนโดมิเนียม 2 แห่งในประเทศจีนอีกจำนวน 3,000 ล้านบาทแล้ว สัดส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงระยะ 2-3 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม โครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นหากใบสำคัญแสดงสิทธิจำนวน 246.8 ล้านหน่วยแปลงเป็นหุ้นสามัญซึ่งจะทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้น 987 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนการขายโรงแรมขนาด 204 ห้องในประเทศจีนในอนาคตเพื่อที่จะรักษาสัดส่วนหนี้สินต่อทุนให้ไม่เกิน 2 เท่าตามนโยบายของบริษัทด้วย