โบรกฯหนุน"ซื้อ"SEAFCO คาด H2/53 เริ่มฟื้น,ปี 54 กำไรโตเด่นตามงานภาครัฐ

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 22, 2010 11:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

5 โบรกเกอร์แนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ซีฟโก้(SEAFCO)ประเมินครึ่งหลังปี 53 พลิกกลับมามีกำไร จากช่วงต้นปีที่ขาดทุน และปี 54-55 จะเติบโตอย่างมากตามปริมาณงานโครงการภาครัฐที่เข้ามา และจะมีการรับรู้รายได้ต่อเนื่องจากการเข้าร่วมรับงานฐานรากโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงิน และโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง คาดว่าจะมีอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น

ทั้งนี้ คาดการณ์กำไรสุทธิปี 53 ไว้ที่ 17-44 ล้านบาท และในปี 54 จะเพิ่มเป็น 92-97 ล้านบาท

SEAFCO เป็นผู้นำเสาแข็มเจาะ และมี connection ที่ดีกับ บมจ.ช.การช่าง(CK)ซึ่งได้งานสายสีม่วงและสัญญา 2 ของสายสีน้ำเงิน นอกจากนี้ยังมีโครงการคอนโดมิเนียมของเอกชนทีทยอยขึ้นในครึ่งหลังปีนี้ที่ SEAFCO จะได้เพิ่มตามไปด้วย

          โบรกเกอร์             คำแนะนำ         ราคาเป้าหมาย(บาท)
          บล.บัวหลวง               ซื้อ               8.80
          บล.ยูไนเต็ด               ซื้อ               7.80
          บล.ดีบีเอสวิคเกอร์ส         ซื้อ               6.81
          บล.ฟินันเซียไซรัส           ซื้อ               6.70
          บล.เอเซียพลัส             ซื้อ               6.30

นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า SEAFCO ได้งานโครงการภาครัฐที่มีปริมาณงานเข้ามาต่อเนื่อง ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง(บางซื่อ-บางใหญ่)ส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยาย เป็นต้น ซึ่งได้เริ่มงานและได้รับรู้รายได้ก่อนใคร

"คิดว่าถึงเวลาที่จะเก็บเข้าพอร์ตหุ้น SEAFCO เนื่องจากทั้งปริมาณงานและกำไรมีแนวโน้มเติบโตดีมาก เราได้ย้ำหลายครั้งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาแนวโน้มของอุตสาหกรรมก่อสร้างในตอนนี้ดีที่สุดในรอบ 6 ปี ดังนั้น SEAFCO จึงน่าจะกลับขึ้นไปซื้อขายที่ระดับสูงสุดในรอบ 6 ปีเช่นกัน แต่ด้วยความระมัดระวังแล้ว เราจึงปรับเพิ่มราคาเป้าหมายให้อยู่ในช่วงกลางๆ ของรอบขาขึ้น จากเป้าหมายเดิม 6.25 บาท"

SEAFCO เป็นผู้รับเหมาช่วงรายใหญ่ที่สุดในการรับงานโครงสร้างฐานราก บริษัทจึงน่าจะได้รับประโยชน์เต็มที่จากการสร้างโครงการรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดิน เนื่องจากบริษัทมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับ CK อีกทั้งยังเคยร่วมงานกับ STEC ในการสร้างโครงการรถไฟฟ้าเชื่อมต่อกับสนามบิน (ทั้ง CK และ STEC ต่างก็ได้งานโครงการรถไฟฟ้าหลายสัญญาในช่วงที่ผ่านมา) ดังนั้นแนวโน้มงานที่จะเข้ามาสู่ SEAFCO ดูชัดเจนมาก

ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือน มิ.ย.53 งานรอรับรู้รายได้อยู่ที่ 1.6 พันล้านบาท เพิ่มจาก 1.2 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 52

แม้ว่างานจะไหลเข้ามาที่ SEAFCO ช้ากว่าผู้รับเหมาหลัก แต่รายได้จะเข้ามาเร็วกว่า เนื่องจากงานโครงสร้างจะเป็นงานแรกที่ต้องเสร็จก่อน นอกจากนี้ อัตรากำไรขั้นต้นของงานโครงสร้างฐานราก (โดยปกติเป็น 10-12%) จะสูงกว่าโครงการโดยรวมซึ่งโดยปกติเท่ากับ 6-7% แนวโน้มกำไรจึงดูดีมาก

เราคาดว่า SEAFCO จะเพิ่มกำไรสุทธิได้ 3 เท่าตัวภายใน 2 ปีข้างหน้า โดยกำไรสุทธิปีนี้น่าจะอยู่ที่ 44 ล้านบาท และในปี 54 จะมีกำไรสุทธิ 92 ล้านบาท ส่วนปี 55 มีกำไรสุทธิ 127 ล้านบาท

ด้านนักวิเคราะห์จาก บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า ผลประกอบการ SEAFCO ในไตรมาส 3/53 จะพลิกมาเป็นกำไร หลังจากบริษัทได้เริ่มงานเสาเข็มเจาะในโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 20-30 ล้านบาท และไตรมาส 4/53 มีกำไรสุทธิจะเพิ่มเป็น 40 ล้านบาท ทั้งปีจะมีกำไร 29 ล้านบาท จากครึ่งปีแรกขาดทุน 42 ล้านบาท ส่วนปี 54 คาดว่ากำไรสุทธิจะเพิ่มก้าวกระโดดเป็น 97 ล้านบาท

นอกจากนี้ SEAFCO เป็นผู้นำตลาดเสาเข็มเจาะ โอกาสได้งานมากทั้งทางตรงและทางอ้อม และแทบจะไม่เห็นการตัดราคา เพราะงานเข้ามามาก อีกทั้งบริษัทมีความสัมพันธ์ที่ดีกับ CK

และเชื่อว่าในปี 54 ซึ่งจะมีงานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสายสีแดง รวมถึงการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมจำนวนมากในปี 53 ที่จะเริ่มต้นงานก่อสร้างในปี 54 ทำให้ความต้องการใช้เสาเข็มเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลดีต่อ SEAFCO สามารถเลือกรับงานที่ให้ margin สูงขึ้น

ขณะที่ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรสุทธิปี 54 ของ SEAFCO สูงขึ้นถึง 96% เป็น 96 ล้านบาท จากเดิมที่เป็นเพียง 50 ล้านบาท เพราะอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทมีแนวโน้มจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 13.0% จากปี 53 คาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 17 ล้านบาท

โครงการก่อสร้างที่จะให้รายได้ในปี 54 มีสัดส่วนของงานประเภทเสาเข็มจากรถไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น เช่น รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และรถไฟฟ้าสายสีแดง เป็นต้น

ขณะที่การเปิดโครงการคอนโดมิเนียมเป็นจำนวนมากในครึ่งหลังปี53 หลังจากปัจจัยการเมืองคลี่คลายไปในทางที่ดี ก็จะทำให้ความต้องการในงานก่อสร้างเสาเข็มเจาะเพิ่มขึ้นอย่างมากในปีหน้า เมื่อเริ่มงานก่อสร้าง อีกทั้งการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทย จะทำให้มีงานก่อสร้างออกมาเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะภาคเอกชน

ส่งผลดีต่อ SEAFCO ในการเลือกงานที่ให้อัตรากำไรขั้นต้นได้ดีกว่าปี 53 ที่บริษัทต้องยอมทำงานประเภทโยธาที่ให้อัตรากำไรขั้นต้นต่ำเพียง 5-6% เพื่อให้ครอบคลุมต่อต้นทุนคงที่ นอกจากนี้การที่ CK ซึ่งมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับ SEAFCO นั้นได้รับงานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินถึง 2 สัญญา ก็มีโอกาสสูงที่จะให้ SEAFCO เป็นผู้ทำงานเสาเข็มและฐานราก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ