(เพิ่มเติม) SITHAI ลุ้นได้เงินประกันครบ 300 ลบ.ปีนี้ช่วยดันกำไรสุทธิโตเท่าตัว

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday September 23, 2010 14:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ศรีไทยซุปเปอร์แวร์(SITHAI)กล่าวว่า หากบริษัทได้รับเงินชดเชยสินไหมประกันภัยจากกรณีเหตุเพลิงไหม้โรงงานครบทั้ง 300 ล้านบาทภายในปีนี้ ก็จะทำให้กำไรของบริษัทสูงกว่าปีก่อนเป็นเท่าตัว ครึ่งปีแรกขาดทุนสุทธิ 156.93 ล้านบาท เนื่องจากมีการบันทึกความเสียหายไว้ 200 ล้านบาท

บริษัทคาดว่าทั้งปี 53 จะมียอดขายโดยรวมอยู่ที่ 5,700 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายจากผลิตภัณฑ์พลาสติก 3,500 ล้านบาท เมลามีน 1,930 ล้านบาท และ Trading อยู่ที่ 270 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ 21%

แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 3/53 และช่วงครึ่งปีหลัง 53 คาดว่ามีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรก 2553 ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 81.7 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทอยู่ระหว่างเร่งรัดขอชดเชยค่าสินไหมทดแทน ซึ่งเบื้องต้นได้รับมาจากบริษัท เมืองไทยประกันภัยมาแล้ว 100 ล้านบาท และคาดว่าได้รับส่วนที่เหลือภายในสิ้นปี 53

"หากเป็นไปตามคาดการณ์ จะทำให้มีรายได้ดังกล่าวเข้ามาชดเชยผลขาดทุนจากเหตุการณ์เพลิงไหม้โกดังโรงงานเก็บเม็ดพลาสติก"นายสนั่น กล่าว

นายสนั่น กล่าวถึงแผนดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลังว่า บริษัทจะมุ่งเน้นการเติบโตของยอดขายสายธุรกิจหลักทั้งผลิตภัณฑ์พลาสติกเพื่องานอุตสาหกรรม โดยมุ่งเน้นกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ การผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่ม Food & Beverage Packaging เช่น บรรจุภัณ ฑ์อาหารสำหรับ Chilled Food และ Ready-to-eat, บรรจุภัณฑ์แก้วน้ำผนังบางตามร้านสะดวกซื้อ, ถังป๊อบคอร์น และแก้วน้ำที่มีลวดลายสวยงามและจำหน่ายตามโรงภาพยนตร์

ขณะที่บรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม ได้แก่ ฝาและขวด PET นั้น บริษัทอยู่ระหว่างการติดตั้งเครื่องเป่าขวด PET และคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ภายในไตรมาส 4/53 ซึ่งจะช่วยให้บริษัทบริการลูกค้าได้อย่างครบวงจร และมีรายได้เข้ามาเพิ่มขึ้น

ส่วนสายผลิตภัณฑ์เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารที่ทำจากเมลามีนจะมีการขยายกำลังการผลิตเพื่อให้สามารถรองรับกับความต้องการในตัวสินค้าเพิ่มมากขึ้น โดยจัดหาเครื่องอัดเมลามีนเพิ่มเติม ขยายสายการผลิตบางส่วนจากโรงงานโคราชมาไว้ที่โรงงานสุขสวัสดิ์เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ขยายกำลังการผลิตของโรงงานในเวียดนาม ขยายสายการผลิตไปสู่บริษัทในเครือ คือ ศรีไทย ชิน-โอซาก้า รวมทั้งขยายฐานการผลิตไปยังอินเดีย ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 250 ล้านบาท

ด้านสายธุรกิจซื้อมาขายไป บริษัทมีแผนจะขยายระบบธุรกิจเครือข่ายเพื่อจัดจำหน่ายสินค้าที่มีคุณภาพ และปลอดภัยต่อผู้บริโภค ในนาม “SNatur" ครอบคลุมกลุ่มสินค้าหลัก ได้แก่ อาหารเสริม (Food Supplement) เช่น เครื่องดื่มสมุนไพร (S-Ladina, S-Manna) เป็นต้น, เครื่องสำอาง(Cosmetic) เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม Mangostana เป็นต้น, ของใช้ส่วนตัว (Personal Care) เช่น ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว Mangostana เป็นต้น และผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน (Home Care) เช่น ยาสีฟัน, ผงซักฟอก เป็นต้น

นายสนั่น กล่าวว่า การจำหน่ายสินค้า “SNatur" ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค และนักขายอิสระในระบบ MLM จนส่งผลให้ยอดขายของธุรกิจซื้อมาขายไปซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดี เพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อน โดยคาดว่าภายในปี 54 จะมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 400 ล้านบาท

แนวโน้มธุรกิจเมลามีนยังมีความต้องการสินค้าสูงเกินกว่ากำลังการผลิต จึงเชื่อว่ายังมีแนวโน้มเติบโตได้อีกมากในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะตลาดส่งออก ส่วนผลิตภัณฑ์พลาสติกเป็นวัสดุที่สามารถนำมาทดแทนวัสดุอื่นได้เป็นอย่างดีเพราะมีคุณสมบัติคงทน และน้ำหนักเบา คาดว่าจะยังมีศักยภาพเติบโตได้อีกเช่นเดียวกัน

ปัจจุบัน บริษัทมีกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์เมลามีนอยู่ที่ 13,500 ตัน/ปี โดยได้ลงทุนในเครื่องอัดเมลามีนเพิ่มในระหว่างปี 53 เป็นจำนวนกว่า 88 เครื่อง,ขยายกำลังการผลิตของโรงงานในประเทศเวียดนามเพิ่มขึ้นเป็น 500 ตัน/ปี ส่วนผลิตภัณฑ์พลาสติกปัจจุบันมีกำลังการผลิตประมาณ 45,000 ตัน/ปี และสาขาโรงงานในประเทศเวียดนามมีกำลังการผลิตพลาสติกประมาณ 2,500 ตัน/ปี

อย่างไรก็ตาม บริษัทมีฐานลูกค้าทั้งในประเทศ และมีตลาดส่งออกไปยัง 107 ประเทศทั่วโลก โดยกลุ่มลูกค้าผลิตภัณฑ์เมลามีนในประเทศ ประกอบด้วย ตัวแทนจำหน่าย นักขายอิสระในระบบการขายตรง (Direct Sales), ลูกค้าสถาบัน (โรงแรม, ร้านอาหาร, สายการบิน) ส่วนกลุ่มลูกค้าผลิตภัณฑ์พลาสติก ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ตัวแทนจำหน่าย ผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์ และค่ายเพลง รวมทั้งยังมีการจัดงานมหกรรมลดราคาประจำปี ส่วนระบบธุรกิจเครือข่าย SNatur มีกลุ่มลูกค้าหลัก ได้แก่ นักขายอิสระในระบบ MLM


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ