โบรกเกอร์"ซื้อ"หุ้นบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC)โดยโบรกเกอร์ส่วนใหญ่กำลังพิจารณาปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย มองเป็นหุ้นกลุ่ม Domestic play ที่ได้รับความสนใจเข้ามาลงทุนในช่วงนี้ค่อนข้างมาก และแนวโน้มราคาหุ้นจะเข้าสู่วัฎจักรขาขึ้น จากช่วงเก็บเกี่ยวผลการลงทุนสูงในอดีต โดยเฉพาะปี 54-55 คาดกำไรเติบโตสูงสุดจากกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะปิโตรเคมี
SCC ยังจะได้รับประโยชน์จากงบรายจ่ายภาครัฐในปีงบประมาณ 54 ซึ่งจะมีการลงทุนด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานค่อนข้างมากจากการก่อสร้างภาครัฐ-ภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงแนวโน้มความต้องการและราคาปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างปรับเพิ่มขึ้น คาด Dividend Yield ปี 53-54 เท่ากันที่ 5% ต่อปี
พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปี 54-55 โดดเด่นในช่วง 40,000-50,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 53 ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 26,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 52 ที่มีกำไรสุทธิ 24,000 ล้านบาท
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.ดีบีเอสฯ ซื้อ 366 บล.โกลเบล็ก ซื้อ 360 บล.ภัทร ซื้อ 354 บล.บัวหลวง ซื้อ 350 บล.กิมเอ็ง ซื้อ 350
นายสุรชัย ประมวลเจริญกิจ นักวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)แนะ"ซื้อ"หุ้น SCC โดยกำลังปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นมาที่ 350 บาท จากเดิม 300 บาท ด้วยความโดดเด่นของธุรกิจและการเติบโต แม้ในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นจะปรับขึ้นไปค่อนข้างมากแล้ว แต่ยังสามารถซื้อลงทุนได้ เพราะแนวโน้มยังเป็นขาขึ้นในช่วงที่เหลือปี 53 และจะเติบโตอย่างมากใน 2 ปีข้างหน้า(54-55)เข้าสู่วัฎจักรขาขึ้นรอบใหญ่ที่จะมีกำไรสูงสุดใหม่อีกครั้ง จากที่เคยเกิดขึ้นในช่วงปี 44-49 กำไรของ SCC ถูกผลักดันโดยธุรกิจปิโตรเคมีและขึ้นไปสูงสุด 33,707 ล้านบาทในปี 47
เราประเมินว่าในช่วง 2 ปีข้างหน้ากำไรของ SCC จะพุ่งขึ้นเป็น 40,000-50,000 ล้านบาท เพราะเป็นช่วงเก็บเกี่ยวผลการลงทุนในช่วงอดีตที่ผ่านมาที่ลงทุนไว้ 1.55 แสนล้านบาทในทุกธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นปิโตรเคมีหรือกระดาษ ส่งผลให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว แต่ในปี 53 ก็เป็นปีที่ดี โดยประเมินไว้ว่าจะมีกำไรสุทธิ 2.6 หมื่นล้านบาท และในปี 54 เพิ่มเป็น 3.2 หมื่นล้านบาท
ในช่วงเดือน ก.ย.53 บริษัทได้ปรับราคาปูนซีเมนต์ขึ้นประมาณ 50 บาท/ตันอีกครั้ง จากในช่วงกลางเดือน ส.ค.53 ปรับไปแล้วรอบหนึ่ง ทำให้ในช่วง 2 เดือน(ส.ค-ก.ย.53)ราคาปูนซีเมนต์ 50-250 บาท/ตัน โดยปูนตราเสือปรับขึ้น 100 บาท/ตัน ปูนตราช้างปรับขึ้น 300 บาท/ตัน ดังนั้น จะส่งผลต่อ EBITDA ดีขึ้น จากในปี 52 ที่บริษัทมี EBITDA ในธุรกิจปูนซีเมนต์เท่ากับ 11,272 ล้านบาท
ขณะที่โครงการปิโตรเคมีปลายน้ำที่ถูกศาลสั่งระงับก่อนหน้านี้ ไม่ได้อยู่ใน 11 ประเภทกิจการที่มีผลกระทบรุนแรง ซึ่งจะทำให้ SCC สามารถดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ที่มีกำหนดในช่วงปลายปี 53 และครึ่งแรกของปี 54 ได้ ฉะนั้น จึงไม่มีเหตุผลที่บริษัทจะไม่แนะนำลงทุน
นายอำนาจ โงสว่าง นักวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ด้วยศักยภาพการเติบโตอย่างโดดเด่นของ SCC จากกำลังการผลิตใหม่ที่จะเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก โดยเฉพาะจากธุรกิจปิโตรเคมีที่มีกำลังการผลิตโดยรวมเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว เนื่องมาจากการลงทุนในอดีต และยังได้รับปัจจัยหนุนจากกรณีมาบตาพุดคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี
ประเมินว่าผลประกอบการของกลุ่มปิโตรเคมีในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าจะเติบโตกว่าเท่าตัว ขณะที่ธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างคาดว่าจะได้ประโยชน์จากการก่อสร้างของภาครัฐและภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น จากปัจจัยดังกล่าวประเมินว่ากำไรในปี 53 ที่ 27,399 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 13%YoY และปี 54 กำไร 33,012 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20%
นอกจากนี้ ยังได้รับปัจจัยบวกจากการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ๆ ทั้งโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และที่กำลังจะประมูลและก่อสร้างในอนาคตมูลค่ารวมกันไม่ต่ำกว่าแสนล้านบาท โครงการก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 2 มูลค่า 6.25 หมื่นล้านบาท งานก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท โครงการเมกะบางนา มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท
ขณะเดียวกันราคาปูนซีเมนต์ยังมีการปรับเพิ่มขึ้น 2 ครั้งที่เกิดจากต้นทุนที่ปรับสูงขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนถ่านหิน นอกจากนั้น แนวโน้มราคาสินค้าวัสดุก่อสร้างอื่น ๆ เช่นผลิตภัณฑ์กระเบื้องหลังคาและคอนกรีตยังมีทิศทางเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
จากปัจจัยดังกล่าวโดยเฉพาะแนวโน้มผลประกอบการในอนาคต และด้านฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีเงิดสดในมือค่อนข้างสูงทำให้มีศักยภาพในการลงทุนโครงการใหม่ ๆ ได้อีก โดยประเมินมูลค่า PER 13 เท่า ซึ่งเพิ่มขึ้นจากในอดีต ที่ 6-15 เท่า ดังนั้นเราจึงแนะนำทยอยซื้อลงทุนได้
บทวิเคราะห์ บล.ดีบีเอสฯ แนะ"ซื้อ"หุ้น SCC โดยปรับราคาเป้าหมายเพิ่มเป็น 366 บาท จากเดิม 333 บาท ตามการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 53-54 ขึ้น 4-7% สะท้อนสมมติฐานธุรกิจที่ไม่ใช่ปิโตรเคมีดีกว่าที่ประเมินไว้เดิม โดยเราปรับเพิ่มปริมาณขายปูนซีเมนต์ในประเทศขึ้นเป็นเติบโต 10% ในปี 53 และ 8% ในปี 54 จากเดิม 5% และ 2% ตามลำดับ เนื่องจากการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนและการเร่งลงทุนในโครงการภาครัฐ
นอกจากนั้น EBITDA margin ของธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างจะเพิ่มขึ้นตามสมมติฐานปริมาณขายและสัดส่วนยอดขายสินค้าที่เป็น Value added ที่มีมาร์จิ้นที่สูงขึ้นด้วย สำหรับราคาขายปูนซิเมนต์เฉลี่ยคาดว่าจะปรับขึ้นเป็น 1,800 บาทต่อตันใน 4Q53 (จากปัจจุบันที่ 1,600 บาทต่อตัน) ซึ่งผลดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธุรกิจที่ไม่ใช่ปิโตรเคมีเป็นปัจจัยหนุน SCC ในระยะสั้น
แม้ SCC จะมีแผนปิดซ่อมบำรุงโรงงานปิโตรเคมีเก่า ซึ่งมีกำลังการผลิต Ethylene และ Propylene 40% ของทั้งหมดใน 4Q53 เป็นเวลา 40 วัน แต่ผลกระทบจำกัดมาก เพราะบริษัทได้มีการผลิตสะสมสต็อกไว้รองรับการปิดซ่อมบำรุงครั้งนี้แล้ว นอกจากนี้ อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงงานปิโตรเคมีแห่งใหม่ที่มีกำลังการผลิต 60% ของทั้งหมดได้เพิ่มขึ้นเป็นระดับเต็มที่แล้ว
ทั้งนี้ กำไรสุทธิจากธุรกิจปิโตรเคมีคิดเป็น 40% ของกำไรสุทธิ SCC ใน 1H53 สำหรับ Spread ของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีหลัก คือ HDPE ใน 3Q53 อยู่ที่ 450 เหรียญสหรัฐต่อตัน ใกล้เคียงกับที่เราประมาณการไว้ และ Spread HDPE เฉลี่ย YTD เท่ากับ 500 เหรียญสหรัฐต่อตัน
ปัญหามาบตาพุดคลี่คลายทำให้บริษัทจะได้เริ่มผลิตสินค้า Value added ที่มีมาร์จิ้นสูง(HVA)ทั้ง 4 โรงงานได้ตั้งแต่กลางปี 54 เป็นต้นไป โดยได้รับประโยชน์จากดีมานด์ในธุรกิจที่ไม่ใช่ปิโตรเคมีฟื้นตัวแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นไปตามการเติบโตของการลงทุนในประเทศ โดยธุรกิจที่ไม่ใช่ปิโตรเคมีทำรายได้คิดเป็น 63% ของรายได้รวม คาดการณ์ Dividend Yield ปี 53-54 เท่ากันที่ 5% ต่อปี ดังนั้น จึงแนะนำซื้อสะสมเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ยังอยู่ในระดับสูง