หุ้น CEN ราคาพุ่งขึ้น 8.13% มาที่ 6.65 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 271.63 ล้านบาท เมื่อเวลา 15.22 น.โดยเปิดตลาดที่ราคา 6.15 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุด 6.75 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 6.15 บาท
นายวุฒิชัย ลีนะบรรจง ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แคปปิทอล เอ็นจิเนียริ่ง เน็ตเวิร์ค(CEN)คาดว่าจะสามารถเซ็นสัญญารับงานสร้างโรงไฟฟ้าขนาดต่ำกว่า 10 MVA ในนิคมอุตสาหกรรมสระบุรี มูลค่า 3 พันล้านบาทได้ภายใน 2-3 วันนี้ ซึ่งล่าช้าจากกำหนดเดิมที่จะเซ็นในวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา เนื่องจากมีรายละเอียดที่ต้องแก้ไขเล็กน้อย
ประกอบกับ สัญญาระยะยาว 15 ปีทำให้ต้องส่งฝ่ายกฎหมายเข้าไปดูรายละเอียดอีกครั้ง แต่ในเรื่องราคาไม่มีปัญหาเจรจาเสร็จสิ้นนานแล้ว และคาดว่าโครงการดังกล่าวจะรับรู้ในช่วงปลายปี 54
"ตอนนี้ทุกอย่างไม่มีปัญหาแล้วไม่น่าเกิน 2- 3 วันนี้ก็น่าจะจบได้หมดและก็เซ็นสัญญาได้เลย ที่ล่าช้าเพราะต้องมีบางอย่างที่ต้องแก้ไข เราต้องดูให้ดีเหมือนกัน เพราะเราลงทุนเอง"นายวุฒิชัย เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"
อนึ่ง ก่อนหน้านี้บริษัทระบุว่าการก่อสร้างโครงการดังกล่าวจะใช้เวลาประมาณ 14 เดือน คาดว่าจะแล้วเสร็จได้ในช่วงปลายปี 54 และคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ทันทีเมื่อมีการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้
นายวุฒิชัย คาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 53 รายได้และกำไรของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นจากครึ่งปีแรก เนื่องจากยอดขายเพิ่มขึ้น และสามารถบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น โดยเฉพาะการบริหารจัดการต้นทุนเหล็กที่เป็นวัตถุดิบหลัก ขณะที่ราคาเหล็กในปีนี้ก็ผันผวนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับปีก่อนด้วย ดังนั้น บริษัทจึงมั่นใจว่ารายได้รวมทั้งปีนี้ 53 จะเติบโต 10-15% จากปีก่อนตามเป้าหมาย
ส่วนของบริษัทลูก คือบมจ.เอื้อวิทยา ที่บริษัทมีแผนจะผลักดันเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้น ขณะนี้ยังเป็นไปตามแผนเดิมที่จะยื่นแบบแสดงข้อมูล(ไฟลิ่ง)ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ประมาณเดือน พ.ย.
นายวุฒิชัย กล่าวว่า ขณะนี้บมจ.เอื้อวิทยามีการเติบโตที่ดีมาก ล่าสุดก็ได้งานเสาไฟฟ้าแรงสูงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)อีก 1 พันล้านบาท ส่วนบริษัทลูกที่เหลือจะนำเข้าจดทะเบียนหรือไม่คงต้องมีการหารือกับผู้บริหารในแต่ละบริษัทก่อน
ส่วนสาเหตุที่ราคาหุ้น CEN ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแรงในวันนี้ นายวุฒิชัย กล่าวว่า น่าจะเกิดจากภาพรวมของธุรกิจก่อสร้างที่ดีขึ้น และจากการที่ภาครัฐจะทยอยลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็คต์ต่างๆ รวมทั้ง เศรษฐกิจภายในประเทศที่ขยายตัวได้ดีมีส่วนสนับสนุน ประกอบกับภาพธุรกิจของบริษัทที่ดีขึ้น สามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ๆเพิ่มขึ้น ส่งผลดีทั้งในด้านของปริมาณขายและยอดขายให้เติบโตขึ้นด้วย