นายเพิ่มศักดิ์ ชีวาวัฒนานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บมจ.ปตท(PTT)คาดว่า บริษัทจะได้รับใบอนุญาตเปิดโรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่ 6 ภายในเดือน ก.ย.นี้ โดยเบื้องต้น คาดว่าจะใช้เวลาในการทดสอบเครื่องจักร ประมาณ 30 วัน และมีกำลังการผลิตช่วงแรก 50% ของกำลังการผลิตทั้งหมด
"เรื่องใบอนุญาตไม่น่าจะมีปัญหา แม้ว่าจะล่าช้ากว่าแผนกว่าที่เราเคยคาดการณ์ไว้ และภายใน 2 วันนี้ก่อนสิ้นเดือนกันยายน ก็น่าจะได้รับใบอนุญาตก่อนที่ผมจะเกษียณ"นายเพิ่มศักดิ์ กล่าว
ส่วนปัญหาการประท้วงที่มาบตาพุดในวันที่ 30 ก.ย.นี้ เชื่อว่าไม่น่าจะป้ญหาต่อกระบวนการผลิตของบริษัท
นายเพิ่มศักดิ์ กล่าวว่า ปัจจุบัน ปตท.แบกรับภาระขาดทุนในธุรกิจเอ็นจีวี จำนวนประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากราคาขายอยู่ที่ 8.50 บาท/กก.ขณะที่เพดานราคาขายเอ็นจีวีราวมค่าขนส่งไปต่างจังหวัดอยู่ที่ 10.34 บาท/กก.แต่ต้นทุนของบริษัทรวมค่าขนส่งอยู่ที่ 18.00 บาท/กก.ทำให้ต้องแบกรับภาระขาดทุน กก.ละ 6 บาท แม้ว่ากองทุน้ำมันจะช่วยอุดหนุน 2 บาท/กก. บริษัทก็ยังคงรับภาระขาดทุนอยู่ถึง 4 บาท/กก.
ประกอบกับ ปริมาณการใช้ก๊าซเอ็นจีวีเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตลอดช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา โดยปีนี้มีการใช้ก๊าซเอ็นจีวี 5 พันตัน/วัน จากปีก่อนมีปริมาณการใช้ 4.3 พันตัน/วัน ถือเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าราคาน้ำมันจะทรงตัวที่ 70-80 เหรียญ/บาร์เรล แต่ยังมีรถยนต์หันมาติดตั้งก๊าซเอ็นจีวี 230 คัน/วัน ซึ่งอยู่ระดับใกล้เคียงกับช่วงที่ราคาน้ำมันตลาดโลกปรับสูงถึง 140 เหรียญ/บาร์เรล
ทั้งนี้ เนื่องจากประชาชนมีความมั่นใจเทคโนโลยีและความปลอดภัยในการใช้ก๊าซเอ็นจีวีมากขึ้น ปัจจุบัน มีรถที่ติดตั้งเอ็นจีวีทั้งหมด 2.4 แสนคัน โดยสัดส่วน 27-28% เป็นรถแท็กซี่ และรถขนาดใหญ่ที่ใช้การขนส่งคิดเป็น 16% และที่เหลือเป็นรถยนต์ส่วนบุคคล
"ปีนี้บริษัทประเมินว่าจะมีรถติดตั้งเอ็นจีวีแค่ 2.1 แสนคัน แต่ปัจจุบันติดไปถึง 2.4 แสนคัน เนื่องจากคนให้ความสำคัญเรื่องราคามากขึ้นและเห็นถึงความปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งปตท.ก็ยังคงต้องแบกรับภาระต่อไปจนถึงกุมภาพันธ์ 54 ซึ่งหลังจากนั้นก็ต้องมาดูกันอีกทีว่าจะสามารถปรับราคาขายเพิ่มขึ้นได้หรือไม่"นายเพิ่มศักดิ์ กล่าว