บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) เตรียมเสนอขายตั๋วแลกเงินระยะสั้น(บีอี)รอบแรกวงเงิน 1 พันล้านบาท อายุ 30 วันให้กับนักลงทุนทั่วไปในวันที่ 20 ต.ค.นี้ โดยให้อัตราดอกเบี้ย 2.50% ต่อปี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวงเงินทั้งหมดที่บริษัทเตรียมไว้ 2 พันล้านบาท อายุตั๋วบีอีไม่เกิน 270 วัน
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KEST กล่าวว่า บริษัทมีความประสงค์จะเปิดตลาดตราสารหนี้ ซึ่งเป็นตัวเลือกการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก ความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น จึงเปิดชมรมนักลงทุนตราสารหนี้กิมเอ็งขึ้นเพื่อเพิ่มทางเลือกการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกับลูกค้าและนักลงทุนทั่วไป โดยชมรมดังกล่าวจะเป็นฐานลูกค้าในการเสนอโอกาสการลงทุนตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนน่าสนใจ ตลอดจนให้ความรู้กับนักลงทุนในการลงทุนตราสารหนี้
ภายใต้กลยุทธ"เอาตัวเข้าแลก"บริษัทจะออกตั๋วแลกเงินระยะสั้น อายุไม่เกิน 270 วันมูลค่ารวม 2 พันล้านบาท จะนำเงินที่ได้จากการออกตั๋วแลกเงินครั้งไปเพิ่มวงเงินให้กับลูกค้าในระบบเครดิตบาลานซ์ในการปล่อยสินเชื่อให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์(มาร์จิ้นโลน) และใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ
ทั้งนี้ กิมเอ็งฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ระดับ A แนวโน้มมีเสถียรภาพ และอันดับเครดิตระยะสั้นภายในประเทศ ที่ F1 จากบริษัท ทริสเรทติ้ง
"การออกตั๋วเงินระยะสั้น ถือเป็นการตอบสนองความต้องการลูกค้าในปัจจุบัน เนื่องจากประชาชนที่ฝากเงินในธนาคารพาณิชย์ได้รับอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นมีความเสี่ยงมากกว่า ดังนั้นการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ โดยราคาไม่แกว่วงเหมือนหุ้นและผลตอบแทนได้มากกว่าฝากในธนาคาร" นายมนตรี กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทจะเสนอขายในวันที่ 20 ต.ค.นี้ โดยรอบแรกเสนอขายวงเงินไม่เกิน 1 พันล้านบาท แบ่งเป็น 600 ล้านบาท กรีนชู 400 ล้านบาท โดยจะจัดสรรให้รายละ 1 ล้านบาท หากมีเหลือก็จะจัดสารให้รอบต่อไปที่ 5 ล้านบาท และ 10 ล้านบาท
นายมนตรี กล่าวว่า ตั๋ว B/E ของบริษัทจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตั๋ว B/E ที่มีอายุเท่ากันที่ 30 วัน และอยู่ในระดับ Rating ที่เท่ากันโดยสถาบันอื่นให้อัตราดอกเบี้ย 1.80-1.90%ต่อปี
นอกจากนี้ ภายในกลางเดือนต.ค. บริษัทจะออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (DW)โดยระดับราคาน่าสนใจ โดยคาดว่าจะมีมูลค่ารวมไม่เกิน 800 ล้านบาท
สำหรับธุรกรรมมาร์จิ้นโลนในปัจจุบันมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ และภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยปัจจุบันมีมูลค่าการปล่อยสินเชื่อมาร์จิ้นโลนประมาณ 4 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าภายในปีนี้มีโอกาสถึงระดับ 5 พันล้านบาท
ส่วนรายได้จากธุรกรรมมาร์จิ้นโลนในครึ่งแรกปี 53 มีมูลค่ารวม 59.73 ล้านบาท สูงกว่าครึ่งแรกปี 52 ที่มี 30.07 ล้านบาท ถือว่าเติบโต 98.63% โดยทั้งระบบมูลค่าการปล่อยสินเชื่อมาร์จิ้นโลนขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ขณะที่ในปี 52 มีวงเงินสินเชื่ออยู่ที่ 2-3 พันล้านบาท
"แม้ว่ามูลค่าธุรกิจกรรมมาร์จิ้นโลนจะปรับตัวสูงขึ้น แต่บริษัทก็ให้ความควบคุมความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อ โดยลูกค้าจะต้องคงสัดส่วนหลักประกัน กับยอดหนี้ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่บริษัทกำหนด ซึ่งหากหลักประกันลดลงกว่ายอดหนี้ บริษัทจะทำการเรียกหลักประกันเพิ่ม และบังคับให้ลูกค้าขายหลักทรัพย์ตามลำดับ รวมไปถึงบริษัทไม่อนุญาตให้ลูกค้ากู้ซื้อหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง"
กรรมการผู้จัดการ บล.กิมเอ็ง กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นยังมีมุมมองเชิงบวก คิดว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวขึ้น ประกอบกับภาคการส่งออกก็ขยายตัวได้ดี โดยเน้นการส่งออกไปภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น ขณะที่การท่องเที่ยวก็กลับมาฟื้นตัว การบริโภคภายในประเทศก็เพิ่มขึ้น การลงทุนภาคเอกชนสูงขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในธุรกิจยานยนต์ ซึ่งมีการเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน แ
ปัจจัยที่มีผลต่อภาวะเศรษฐกิจไทย คือ ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังอ่อนแอ และมียอดคนว่างงานค่อนข้างสูง ทำให้โอกาสการปรับขึ้นดอกเบี้ยแรงๆมีน้อยมาก ทำให้การปรับขึ้นดอกเบี้ยของไทยไม่น่าจะปรับขึ้นได้ แต่ก็จะยังคงมีเม็ดเงินไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอยู่ และหากตลาดหุ้นสหรัฐมีโอกาสแตะ 11,000 จุด ก็จะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสทะลุ 1,000 จุดได้ ตอนนี้สหรัฐอยู่ที่ประมาณ 10,800 จุดแล้ว