โบรกฯแนะ"ซื้อ"BBL คาด Q4/53 เข้าช่วงพีคกำไร-สินเชื่อโตดี, NIM สูงขึ้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday October 4, 2010 15:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์เห็นพ้องแนะ"ซื้อ"หุ้นธนาคารกรุงเทพ(BBL)เก็งไตรมาส 4/53 เป็นช่วงพีคสุดของปี ทั้งการเติบโตด้านผลการดำเนินงานและสินเชื่อที่ขยายตัวได้ดีราว 2-3% จากเป้าหมายทั้งปี 6% และขยายตัวต่อเนื่องปี 54 ระดับ 8% ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมเข้ามาเพิ่มขึ้น อีกทั้งได้ประโยชน์จากความต้องการของสินเชื่อฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ รวมทั้งแผนลงทุนภายใต้โครงการไทยเข้มแข็งของภาครัฐหนุน

ประเมินกำไรสุทธิปี 53 เป็นบวกที่ 2.4 หมื่นล้านบาท และคาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีหน้า โดยน่าจะทำกำไรราว 2.5 หมื่นล้านบาท ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ(NIM)มีโอกาสในการกลับขึ้นสู่ระดับ 3.1% ในปีหน้าตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น

จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้โบรกเกอร์หลายรายได้ปรับประมาณการราคาเหมาะสมหุ้น BBL เพิ่มขึ้น

          โบรกเกอร์               คำแนะนำ           ราคาเป้าหมาย(บาท)
          บล.เอเซียพลัส             ซื้อ                   200.00
          บล.ทรินิตี้                 ซื้อ                   195.00
          บล.ยูโอบีเคเฮียน           ซื้อ                   192.00
          บล.ฟินันเซียไซรัส           ซื้อ                   180.00
          บล.ฟิลลิป                 ซื้อ                   175.00

นางอุษณีย์ ลิ่วรัตน์ นักวิเคราะห์ บล.เอเชีย พลัส กล่าวว่า BBL เป็นหุ้นที่น่าสนใจลงทุน โดยได้ปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้น แม้ใน Q3 กำไรสุทธิ 3Q53 หดตัว 17.1% qoq แต่กำไรดำเนินงานยังเติบโตสูง และทำให้เรามองในเชิงบวก เชื่อว่าราคาหุ้นจะสามารถ outperform ตลาดได้ใน 2-3 เดือนข้างหน้า

การที่ BBL มีโครงสร้างสินเชื่อรายใหญ่กว่า 50% ทำให้น่าจะได้ประโยชน์มากที่สุดจากความต้องการสินเชื่อโครงการระยะยาวที่ทยอยเข้ามามากขึ้น ทั้งโครงการมาบตาพุดที่ไม่เข้าข่ายโครงการที่มีผลกระทบรุนแรงจะกลับมาดำเนินการได้ในช่วง 4Q53 รวมทั้งแผนการลงทุนโครงการไทยเข้มแข็งของภาครัฐ ส่งผลบวกต่อความต้องการสินเชื่อของภาคเอกชนที่เกี่ยวเนื่อง ทำให้ความต้องการสินเชื่อของโครงการลงทุนต่างๆ ปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงที่ผ่านมา

ทั้งนี้ การที่ BBL ยืนยันเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อสุทธิทั้งปี 53 ที่ 5-6% yoy นั่นหมายถึงสินเชื่อสุทธิใน 4Q53 จะต้องเติบโตถึง 2-3%qoq เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว มองว่ามีความเป็นไปได้สูง เพราะโดยปกติแล้ว BBL จะมีการเติบโตของสินเชื่อระดับสูงในไตรมาส 4 เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น จึงสามารถคาดหวังกับการเติบโตของผลการดำเนินงานเชิงรุกใน 4Q53 และต่อเนื่องไปถึงปี 54

หากพิจารณายอดการปล่อยสินเชื่อใหม่ๆ พบว่ายังมีการเติบโตในกลุ่มของสินเชื่อรายใหญ่และ SME ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียน เพราะเป็นช่วงฤดูกาลความต้องการสินเชื่อของกลุ่มส่งออกในภาคเกษตร ซึ่ง BBL มีการปล่อยสินเชื่อในกลุ่มนี้ค่อนข้างสูง โดยคาด NIM ในงวดนี้จะค่อนข้างทรงตัวจากงวดที่ผ่านมาที่ระดับ 2.94% จากต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่เริ่มสูงขึ้น จึงไปหักล้างผลบวกจากYield ที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน

ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมคาดว่ายังเติบโตอย่างต่อเนื่องจากงวดที่ผ่านมา ตามธุรกรรมสินเชื่อใหม่ๆ ที่ปล่อยเพิ่มขึ้น ธุรกรรมบัตรต่างๆ และธุรกรรมด้าน FX ส่วนประเด็นเรื่องการตั้งสำรองหนี้ฯ คาดว่าจะลดลงมาที่ระดับปกติที่ราว 1.7 พันล้านบาท โดยรวมแล้ว ฝ่ายวิจัยประเมินว่ากำไรสุทธิใน 1H53 จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.85 หมื่นล้านบาท เติบโตถึง 25.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็น 83% ของประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี 53

จากปัจจัยดังกล่าวบริษัทจึงแนะนำลงทุนโดยเชื่อว่าราคาหุ้น BBL จะสามารถกลับมา outperform ตลาดฯ ได้ในช่วงที่เหลือของปี 53 โดยกำหนด Fair value เท่ากับ 185 บาท อิง PBV 1.67 เท่าปี 53 ภายใต้คาดการณ์ ROE ระยะยาวที่ 17% ราคาหุ้นปัจจุบันยังมีส่วนลดจากมูลค่าพื้นฐานถึง 22% อีกทั้งคาดการณ์ Div yield ปี 53-54 ในระดับเฉลี่ยราว 2-3% โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 200 บาทในปี 54

บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซียไซรัส ระบุว่า หุ้น BBL เป็นหุ้นในกลุ่มแบงก์ที่น่าสนใจลงทุนอีกตัวนอกเหนือตัวอื่น โดยให้ราคา 180 บาท เนื่องจากการประกาศงบใน Q3 ที่ใกล้จะเกิดขึ้นใน 2 สัปดาห์ข้างหน้าในเดือน ต.ค.นี้จะเป็นปัจจัยสนับสนุนหุ้นกลุ่มแบงก์ และในไตรมาสนี้ถือเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดไตสมาสหนึ่งของกลุ่มแบงก์ โดยคาดกำไร 6 ธนาคาร(ไม่รวม SCIB)เพิ่ม 15% Y-Y, 4% Q-Q และอาจมี surprise จากกำไรจากเงินลงทุนในพันธบัตร เพราะตลาดพันธบัตรมีการซื้อขายคึกคักมากใน 3Q10 จากเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าจำนวนมาก และธนาคารเป็นคู่ค้าหลักในตลาดพันธบัตร

แต่หากพิจารณา BBL เพียงตัวเดียวถือว่าน่าสนใจในด้านสินเชื่อใน Q4 ที่คาดว่าจะเติบโตที่สุด 3-4% จากทั้งปีที่คาดว่าจะเติบโต 6% และ 8% ในปี 54 ขณะที่กำไรปีนี้ 2.4 หมื่นล้านบาทและเติบโตเพิ่มขึ้นอีกในปี 54 มาที่ 2.5 หมื่นล้านบาทจากความชัดเจนของโครงการมาบตาพุด ส่งผลดีต่อสินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ ซึ่ง BBL มีวงเงินให้สินเชื่อในโครงการมาบตาพุดราว 5 หมื่นล้านบาท(ซึ่งมากที่สุดในกลุ่มธนาคาร)และจะส่งผลต่อเนื่องไปยังสินเชื่อโครงการในนิคมอื่นๆ ไปด้วย

นอกจากนี้ คาดการณ์การตั้งสำรองค่าเผื้อหนี้จะสูญปีนี้ที่ 7.5 พันล้านบาท(0.62% ของสินเชื่อรวม)และลดลงเป็น 7 พันล้านบาท(0.55% ของสินเชื่อรวม)ในปี 54 พิจารณาจากอัตราการตั้งสำรองหนี้สูญในระดับเกินปกติมีความจำเป็นน้อยลง ขณะที่ NIM มีโอกาสในการกลับขึ้นสู่ระดับ 3.1% ในปี 54 ตามอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น

บทวิเคราะห์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน(ประเทศไทย)ระบุว่า BBL ถือเป็นหุ้นในกลุ่มแบงก์ที่เรามองบวก และสามารถซื้อลงทุนได้เพราะการที่เป็นแบงก์ที่มีสาขาในต่างประเทศมาก จะสามารถเพิ่มศักยภาพด้านการปล่อยสินเชื่อในอนาคตสูงขึ้นตามการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจ โดยปัจจุบัน มีสาขาในต่างประเทศถึง 15 สาขาใน 13 ประเทศ

ขณะเดียวกันในส่วนของสินเชื่อการเติบโตจากนี้จะเพิ่มขึ้นเนื่องจากความเชื่อมั่นในการลงทุนของภาคเอกชนจะกลับมา ประกอบกับอัตราการใช้กำลังการผลิตในหลายอุตสาหกรรมเริ่มอยู่ในระดับสูง ขณะที่ความต้องการสินค้ายังมีต่อเนื่องตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว อีกทั้งใน Q4 เป็นฤดูการเบิกจ่ายสินเชื่อ ดังนั้นจากปัจจัยดังกล่าวจึงยังคงเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อในปีนี้ประมาณ 6 % ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ไม่รวม 3G

ทั้งนี้ แม้สินเชื่อสุทธิหักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญใน 8 เดือนแรกของปีนี้ของธนาคารจะขยายตัวในระดับต่ำ แต่การกลับมาลงทุนของภาคเอกชนจะเป็นตัวผลักดัน ขณะที่ BBL มีความมั่นคงด้วยเงินกองทุนทั้งหมดต่อสินทรัพย์เสี่ยงประมาณ 16% และเงินปันผลในระดับที่ดี คาดว่าเงินปันผลสิ้นปีนี้ที่ 4.83 บาท เราจึงแนะนำ"ซื้อ"และยังได้ปรับราคาเป้าหมายเป็น 192 บาท จากเดิม 175 บาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ