นายเย็บ ซูชวน ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อาปิโก ไฮเทค(AH) คาดว่า รายได้ในปีนี้และปีหน้าจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องตามทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยที่มีแนวโน้มการขยายตัวสูง โดยในปีนี้คาดว่าจะทำยอดขายแตะ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่ลูกค้าที่เป็นค่ายรถยนต์เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ 3 รุ่น และ ในปีหน้าจะมีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่เพิ่มเติมอีก 4 รุ่น
บริษัทมีเป้าหมายที่จะเติบโตไปพร้อมกับยอดผลิตรถยนต์ในประเทศของไทย และยังมองหาซื้อกิจการเพิ่มเติมหากมีจังหวะที่เหมาะสม หลังจากที่ได้เข้าไปซื้อที่ดินเพื่อตั้งฐานการผลิตที่มั่นคงในจีนแล้ว
ซีอีโอ AH กล่าวว่า ช่วงครึ่งแรกของปี 53 บริษัทมีรายได้รวม 5 พันล้านบาท คิดเป็นเติบโต 30% จากปีก่อน และคาดว่าช่วงครึ่งปีหลังจะมีรายได้ใกล้ครึ่งปีแรก ทำให้มั่นใจว่าในปี 53 จะมีรายได้รวมแตะ 1 หมื่นล้านบาท ภายใต้ประมาณการที่ยอดการผลิตรถยนต์ในประเทศปีนี้อยู่ที่ 1.6 ล้านคัน ซึ่งเป็นการเติบโตตามอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ในประเทศ
สำหรับกำไรสุทธิของบริษัทช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าอยู่ระดับใกล้เคียงครึ่งปีแรกที่มีกำไรสุทธิ 180 ล้านบาท จากปี 52 ที่บริษัทมีผลขาดทุนเนื่องจากมีการลงทุนจำนวนมาก ประกอบกับอุตสาหกรรมรถยนต์ในปีก่อนไม่ดีนัก แต่ปีนี้อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ปรับดีขึ้นมาก ดังนั้น เชื่อว่าปีนี้คงไม่ขาดทุนอีก
และยังมองว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ในปี 54 ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมียอดการผลิตรถยนต์อยู่ที่ 1.7-1.8 ล้านคัน จากนั้นในช่วง 5 ปีข้างหน้า ประเมินว่ายอดผลิตรถยนต์ในประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.5 ล้านคัน ดังนั้น บริษัทยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก
"ปีนี้อุตสาหกรรมยานยนต์ไม่มีความเสี่ยงเลย ธุรกิจรถยนต์ในไทย growth ดีมาก นโยบายรัฐบาลก็ดี และหากรัฐบาลเปลี่ยน แต่นโยบายธุรกิจรถยนต์ไม่น่าเปลี่ยน และมองว่าในปี 54 อุตสาหกรรมยานยนต์ยังโตต่อจากที่มีรถรุ่นใหม่ออกมา 4 รุ่น ได้แก่ รถปิกอัพอีซูซุ รถยนต์ฟอร์ดรุ่นใหม่ ฮอนด้าอีโคคาร์ และนิสสันอีโคคาร์ จากปี 53 ที่มีรถใหม่ออกมา 3 รุ่นและตอนนี้เริ่มมีออเดอร์แล้ว"นายเย็บ กล่าว
นายเย็บ ซูชวน กล่าวอีกว่าบริษัทยังคงมองหาการเข้าซื้อกิจการเพิ่มอีกหากเห็นโอกาสการลงทุน โดยบริษัทสามารถระดมเงินลงทุนในการซื้อกิจการจำนวน 1 พันล้านบาท มาจากการกู้เงินในประเทศ เนื่องจากมีต้นทุนต่ำ
สำหรับการแข็งค่าของเงินบาท ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการดำเนินธุรกิจ แม้เงินบาทแข็งค่า 10% แต่ต้นทุนการผลิตยังต่ำกว่าการผลิตในประเทศญี่ปุ่น และเงินบาทที่ยังแข็งค่าต่อเนื่องขณะนี้ยังไม่มีกระทบทางลบ หรือสร้างความกังวลให้บริษัท และหากราคาวัตถุดิบในประเทศปรับสูงขึ้น เช่น เหล็ก บริษัทก็ยังสามารถปรับราคาขายได้ จึงไม่ได้สร้างปัญหาต่อบริษัท
และในปีนี้ บริษัทได้ลงทุนจัดซื้อเครื่องเพิ่มที่ โรงงาน 3 แห่ง ใน จ.ระยอง วงเงิน 200-300 ล้านบาท และบริษัทยังมีที่ดินรองรับพร้อมที่จะขยายโรงงานเพิ่มได้อีก นอกจากนี้ยังมีโรงงานที่ประเทศจีน ที่ได้จัดซื้อเครื่องจักรและซื้อที่ดิน เพื่อเตรียมรองรับการขยายธุรกิจไว้แล้ว
ปัจจุบัน โครงสร้างรายได้ของบริษัทมาจากการผลิตในประเทศ 70% ต่างประเทศ 30% โดยมีการกระจายการผลิตเพื่อลดความเสี่ยงการดำเนินธุรกิจ