โบรกฯเชียร์"ซื้อ"KBANK เล็งกำไร Q3/53 โตสูง หลังสินเชื่อขยายตัวดีมาก

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday October 6, 2010 15:20 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์เห็นพ้อง"ซื้อ"หุ้น ธนาคารกสิกรไทย(KBANK)เนื่องจากมีการเติบโตที่แข็งแกร่ง จากการขยายตัวของสินเชื่อสูง ทั้งจาก SME และลูกหนี้สินเชื่อรายใหญ่ที่ต้องการกู้ระยะยาวเพิ่มขึ้น อีกทั้งรายได้จากค่าธรรมเนียมก็จัดว่าดีที่สุดในกลุ่มแบงก์ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการรับผลจากการเข้าซื้อกิจการเมืองไทยประกันชีวิต

นอกจากนี้ ยังมีระดับ NPL ที่ไม่เป็นปัญหา และสามารถควบคุมหนี้เสียได้ดี โดยล่าสุดสัดส่วน NPL อยู่ที่ 3.2% เท่านั้น ถือว่าน้อยที่สุดในกลุ่มแบงก์ใหญ่ ทำให้สามารถลดการตั้งสำรองฯและส่งผลดีต่อกำไร

ผลประกอบการงวดไตรมาส 3/53 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 4,800-4,930 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.7-32.6% yoy เป็นผลจากการขยายตัวของสินเชื่อที่คาดว่าจะโต 10.7-12.5% yoy และยังน่าจะมีรายได้จากค่าธรรมเนียมที่แข็งแกร่งด้วย โดยคาดว่าจะเติบโต 8% qoq และ 10% yoy

พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปี 53 ไว้ในช่วง 17,169-23,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 52 ที่มีกำไรสุทธิ 14,900 ล้านบาท และปี 54 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 20,688-28,800 ล้านบาท โดยคาดว่าปีนี้สินเชื่อจะขยายตัวที่ 7.3-8% ซึ่ง 9 เดือนแรกขยายตัวแล้ว 5.7% ส่วนปีหน้าคาดสินเชื่อจะขยายตัวในระดับ 7-10%

อย่างไรก็ดี มีปัจจัยเสี่ยงจากเรื่องค่าใช้จ่าย K-transformer ที่อาจจะสูงขึ้น 15-30% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 15,000 ล้านบาท เป็นผลจากความล่าช้าจากเดิมคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 55 แต่อาจจะเลื่อนไปถึง 56

          โบรกเกอร์                   คำแนะนำ   ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
          Royal Bank of Scotchland     ซื้อ             138.00
          JP Morgan                    ซื้อ             135.00
          บล.บัวหลวง                    ซื้อ             145.75
          บล.โกลเบล็ก                   ซื้อ             143.00
          บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)  ซื้อ             140.00
          บล.ธนชาต                     ซื้อ             140.00
          บล.ทิสโก้                      ซื้อ             137.00
          บล.ทรีนีตี้                      ซื้อ             138.00
          บล.เอเชีย พลัส                 ซื้อเมื่ออ่อนตัว     138.00
          บล.กรุงศรีอยุธยา                ซื้อ             134.00

JP Morgan(JPM) ปรับราคาเป้าหมายหุ้น KBANK จาก 131 บาท/หุ้น ขึ้นสู่ 135 บาท/หุ้น เนื่องจากมีการเติบโตที่แข็งแกร่ง และดีเกินคาด แต่คาดว่าค่าใช้จ่ายในส่วนของ K-transformer จะเพิ่มขึ้น 25-30% ซึ่งเป็นผลจากความล่าช้า

น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)แนะ"ซื้อ"หุ้น KBANK ด้วยราคาเป้าหมายปี 54 ที่ 140 บาท/หุ้น เป็นการคิด P/BV ที่ 2.2 เท่า โดยมองว่าปีนี้ถือเป็นปีที่ดีของ KBANK เนื่องจากสินเชื่อขยายตัวสูง ทั้งจาก SME และลูกหนี้สินเชื่อรายใหญ่ที่ต้องการกู้เงินระยะยาวเพิ่มขึ้น อีกทั้งรายได้จากค่าธรรมเนียมก็จัดว่าดีที่สุดในกลุ่มแบงก์ ส่วนหนึ่งเป็นการรับผลจากการซื้อกิจการเมืองไทยประกันชีวิต

นอกจากนี้ KBANK ยังมีจุดเด่นที่มีตัวเลข NPL ที่ต่ำมากมีแค่ 3% เท่านั้น และคาดการณ์ปี 53-54 KBANK น่าจะมีการขยายตัวของสินเชื่อประมาณ 8% ต่อปี ดังนั้น KBANK จึงจัดว่าเป็นแบงก์ที่มีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี และยังมีความสามารถในการทำกำไรที่ดีด้วย

ผลประกอบการไตรมาส 3/53 ของ KBNAK คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 4,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.7% yoy ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของสินเชื่อที่ดีมาก โดยคาดว่าจะมีการเติบโตของสินเชื่อ 12.5% yoy และยังน่าจะมีรายได้จากค่าธรรมเนียมที่แข็งแกร่งด้วย โดยคาดว่าจะเติบโต 8% qoq และ 10% yoy

พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิทั้งปี 53 ไว้ที่ 23,600 ล้านบาท และในปีหน้าคาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 28,800 ล้านบาท

ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเชีย พลัส กล่าวว่า จัดให้ KBANK เป็น Top Picks แต่คงแนะนำ"ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว"เนื่องจาก KBANK เป็นแบงก์ขนาดใหญ่ที่มีความโดดเด่น จากการขยายตัวของสินเชื่อที่ดี โดยเฉพาะจากลูกค้า SME และลูกค้ารายย่อยที่มีค่อนข้างมาก ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิมีมากกว่าแบงก์ขนาดใหญ่แห่งอื่น

ทั้งนี้ คาดการณ์การขยายตัวของสินเชื่อในปีนี้ไว้ที่ 7.3% ซึ่ง 9 เดือนแรกสินเชื่อขยายตัวไปแล้ว 5.7% จึงมีความเป็นไปได้ที่สินเชื่อจะขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้และอาจสูงกว่าคาดด้วย ส่วนปีหน้าคาดว่าสินเชื่อน่าจะขยายตัวได้ถึง 10%

สำหรับไตรมาส 3/53 คาดว่า KBANK จะมีกำไรสุทธิ 4,930 ล้านบาท เติบโต 32.6% yoy และ 3.6% qoq โดยคาดว่าจะมีการขยายตัวของสินเชื่อ 10.7% yoy และ 1% qoq

อย่างไรก็ดี แม้ว่า KBANK จะมีการเติบโตที่ดี แต่ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากเรื่องที่ผู้บริหารได้ให้ข้อมูลไว้ล่าสุดว่า ค่าใช้จ่ายในส่วนของ K-transformer ที่อาจจะสูงขึ้น 15-20% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 15,000 ล้านบาท เป็นผลจากความล่าช้าที่จากเดิมคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2555 แต่อาจจะล่าช้าไปถึง 2556

พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้ไว้ที่ 17,169 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 52 ที่มีกำไรสุทธิ 14,900 ล้านบาท และในปี 54 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 20,688 ล้านบาท

ส่วนนายธนัท รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา มองว่า KBANK มีแนวโน้มผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง จากสินเชื่อที่ขยายตัวดี, ส่วนต่างดอกเบี้ย และธุรกิจประกันชีวิต นอกจากนี้ NPL ต่ำและสามารถควบคุมหนี้เสียได้ดี โดยล่าสุด NPL อยู่ที่ 35,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 3.2% เท่านั้น น้อยที่สุดในกลุ่มแบงก์ใหญ่ ทำให้ธนาคารลดการตั้งสำรองฯได้และจะส่งผลดีต่อกำไรK

ผลประกอบการงวดไตรมาส 3/53 ก็คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 4,825 ล้านบาท เติบโต 30% yoy โดยคาดว่าไตรมาส 3/53 จะมีการขยายตัวของสินเชื่อ 1.5% qoq และ 12.5% yoy

พร้อมคาดการณ์การขยายตัวของสินเชื่อปีนี้ที่ 8% และปีหน้าจะขยายตัว 7% โดยคาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะอยู่ที่ 18,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากปี 52 และในปีหน้าคาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 22,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จากปี 53


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ