โบรกฯเชียร์"ซื้อ"SCCC แม้คาดผลงาน Q2/62 ต่ำสุดรอบปีหลังมีค่าใช้จ่ายพิเศษสูง แต่เชื่อ H2/62 เป็นขาขึ้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday July 8, 2019 13:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ แนะนำ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวง (SCCC) แม้มองกำไรไตรมาส 2/62 จะไม่สดใส และน่าจะเป็นจุดต่ำสุดรอบปี 62 หลังจะบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษของพนักงานตามระเบียบกฏหมายแรงงานใหม่ 249 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายปิดซ่อมบำรุงเตาผลิตปูนซีเมนต์ 2 เตาวงเงินรวม 200 ล้านบาท อย่างไรก็ตามแนวโน้มผลงานครึ่งหลังปีนี้จะเริ่มเข้าสู่ขาขึ้นรอบใหม่ตั้งแต่ไตรมาส 3/62 เป็นต้นไป ตามความต้องการและราคาปูนซีเมนต์ยังอยู่ในทิศทางที่ดี ประกอบการเริ่มเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการลงทุนซื้อกิจการปูนซีเมนต์ในหลายประเทศ ส่งผลบวกกับกำไร SCCC เติบโตต่อเนื่องในช่วง 3 ปีนี้ (ปี 62-65)

หุ้น SCCC พักเที่ยงอยู่ที่ 243 บาท เพิ่มขึ้น 1 บาท หรือ 0.41% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ลดลง 0.20%

          โบรกเกอร์                     คำแนะนำ           ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
          เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ                 ซื้อ                    275
          ทิสโก้                           ซื้อ                    268
          หยวนต้า (ประเทศไทย)             ซื้อ                    280

นายสุรชัย ประมวลเจริญกิจ รักษาการหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า แม้ทิศทางผลประกอบการไตรมาส 2/62 ของ SCCC จะอ่อนแอ แต่เป็นสิ่งคาดไว้แล้ว โดยประเมินกำไรจะลดลงเหลือ 700 ล้านบาท หดตัว 37% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และหดตัว 31% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลกระทบจากค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียวในไตรมาส 2/62 เนื่องจากกฏหมายแรงงานใหม่ทำให้ต้องตั้งสำรองเพิ่ม 249 ล้านบาท และมีการปิดซ่อมบำรุงเตาผลิตปูนซีเมนต์ K4 และ K6 เป็นเวลา 18-20 วัน ทำให้มีค่าใช้จ่ายรวมประมาณ 200 ล้านบาท กระทบอัตรากำไรขั้นต้นปรับลดลงเหลือ 32.3% เทียบกับ 32.7% ในไตรมาสก่อน และ 37.2% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน

แม้ว่ากำไรจะได้รับผลกระทบ แต่ยอดขายกลับมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง คาดว่ายอดขายในไตรมาส 2/62 จะเพิ่มขึ้น 5% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นตามแรงสนับสนุนความต้องการปูนซีเมนต์ยังเติบโตต่อเนื่องประมาณ 3-4% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลัก ๆ มาจากโครงการภาครัฐบาล และราคาปูนซีเมนต์สามารถรักษาระดับได้จากไตรมาสแรก โดยสามารถปรับขึ้นจากปีก่อนประมาณ 80 บาท/ตัน

อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลประกอบการของ SCCC ในไตรมาส 2/62 จะเป็นจุดที่ต่ำสุดของปี ก่อนจะฟื้นตัวชัดเจนในไตรมาส 3/62 เป็นต้นไป รับปัจจัยบวกจากการได้รับผลประโยชน์ปรับโครงสร้างธุรกิจในอดีต ขณะที่ปีนี้ความต้องการปูนซีเมนต์ในเวียดนาม กัมพูชา และไทย จะเติบโต 5%, 7% และ 5% ตามลำดับ เป็นส่วนช่วยสนับสนุนกำไรปีนี้ให้เติบโต 21% จากปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 3,653 ล้านบาท และในปี 2563 เพิ่มขึ้นเป็น 3,962 ล้านบาท เติบโต 9% เทียบกับปีนี้

ทั้งนี้ SCCC ปรับโครงสร้างธุกิจในช่วงปี 2559-2560 ด้วยการใช้เงินลงทุน 30,000 ล้านบาท ขยายการลงทุนซื้อโรงงานปูนซีเมนต์ในเวียดนาม 5.2 ล้านตัน ,ศรีลังกา 2.5 ล้านตัน ,บังคลาเทศ 0.5 ล้านตัน ,ซีเมนต์ตราลูกโลก 0.8 ล้านตัน และในกัมพูชา 1.8 ล้านตัน ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา

"แม้ว่ากำไร SCCC จะไม่สดใสในไตรมาส 2/62 แต่เป็นผลกระทบจากการบันทึกค่าใช้จ่ายแค่ครั้งเดียวจากการตั้งสำรองกฎหมายแรงงานใหม่ และปิดซ่อมบำรุงเตาผลิตปูนซีเมนต์ 2 เตา โดยภายหลังจากไตรมาส 2/62 ผ่านพ้นไปแล้ว ผลบวกจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ รวมถึงความต้องการและราคาปูนซีเมนต์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลัง ทำให้ฝ่ายวิจัยฯมองว่ากำไรของ SCCC จะเข้าสู่วัฎจักรขาขึ้นรอบใหม่ จึงเป็นจังหวะที่เหมาะสมสำหรับการเข้าซื้อสะสมเพื่อได้รับผลตอบแทนที่สูงในระยะยาว" นายสุรชัย กล่าว

ฝ่ายวิจัยฯ แนะนำ "ซื้อลงทุน" เนื่องจาก SCCC มีความโดดเด่นเรื่องการจ่ายปันผลในอัตราสูงต่อเนื่อง 70-80% ของกำไรสุทธิที่ทำได้ในแต่ละปี โดยในปีนี้คาดจะจ่ายในอัตรา 10-11 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลประมาณ 4.3%

ด้านบทวิเคราะห์บล.ทิสโก้ ระบุว่ามีมุมมองเชิงบวก SCCC สำหรับแนวโน้มการเติบโตระยะกลาง เพราะแม้ว่าผลประกอบการไตรมาส 2/62 จะอ่อนแอ แต่ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตทางธุรกิจยังคงดีต่อเนื่อง ตามความต้องการบริโภคปูนซีเมนต์เพิ่มขึ้นชัดเจนตั้งแต่เดือน เม.ย. และ พ.ค. จากโครงการลงทุนของภาครัฐฯ และราคายังมีทิศทางเพิ่มขึ้น ทำให้คาดการณ์ว่าแนวโน้มการบริโภคปูนซีเมนต์ของเอกชนจะเพิ่มขึ้นตามในอนาคต ทั้งนี้ ประเมินว่าอุปสงค์ปูนซีเมนต์ในประเทศจะเติบโตเฉลี่ย 5% ในช่วง 3 ปี (ปี 62-64) ส่งผลให้ผลประกอบการ SCCC จะเติบโต 24%, 13% และ 9% ตามลำดับ

บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ประเมินอัพไซด์ราคาพื้นฐานของ SCCC สูงถึง 280 บาท เพราะมีความเชื่อมั่นถึงโอกาสการเติบโตจากการรับอานิสงส์อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ในประเทศฟื้นตัวตามการเร่งก่อสร้างโครงการลงทุนภาครัฐ และต้นทุนถ่านหินที่ผ่านจุดสูงสุดในปีก่อน อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยฯยังคงติดตามปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะกระทบกับผลการดำเนินงานในอนาคต เช่น กรณีการปิดซ่อมโรงงานนอกแผน, การตั้งด้อยค่าสินทรัพย์, ภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่เสี่ยงชะลอตัว, ผลจากมาตรการ LTV ของภาครัฐ กระทบผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชะลอขยายโครงการ, การแข่งขันในตลาดปูนซีเมนต์ต่างประเทศ เป็นต้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ