"Weekly Highlight" สัปดาห์นี้ (5-9 ต.ค.) เจาะลึกกับข่าวสารสำคัญ ในรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 5 ตุลาคม 2563
เริ่มต้นกับการสรุปภาพรวมตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่แล้ว (28 ก.ย.-2 ต.ค.) SET INDEX ปิดที่ระดับ 1,237.54 จุด ลดลง 0.59% จากสัปดาห์ก่อน โดยกลุ่มหุ้นที่ปรับตัวลดลงมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ลดลง 3.2% รองลงมาคือกลุ่มไอซีที ลดลง 2.5% และสุดท้ายคือกลุ่มการแพทย์ ลดลง 2.4%
ภายใต้บรรยากาศการลงทุนในเดือนตุลาคมนี้ ตลาดหุ้นไทยยังคงถูกปกคลุมด้วยหลายปัจจัยเสี่ยง ส่งผลให้นักวิเคราะห์แทบทุกสำนักต่างคาดการณ์ทิศทาง SET INDEX ตลอดทั้งเดือนตุลาคม อาจต้องเผชิญกับภาพของขาลง แม้ว่านักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จะคาดหวังกับแรงซื้อคืนหาก SET INDEX ปรับฐานทดสอบแนวรับสำคัญที่ระดับ 1,200 จุด แต่นักวิเคราะห์บางค่ายต่างเริ่มมองข้ามช็อตถึงโอกาสที่ SET INDEX อาจปรับฐานหลุด 1,200 จุดจากความเสี่ยงที่ถาโถมความเชื่อมั่นผู้ลงทุนได้เช่นกัน
เริ่มต้นกับความเสี่ยงในต่างประเทศ ภายหลังจากเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯและภริยา ทราบผลว่าติดเชื้อโควิด-19 สร้างความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาด ที่อาจพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เร่งตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งหรือไม่ ท่ามกลางความคาดหวังถึงบทสรุปมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯรอบใหม่ที่จะนำมาใช้เยียวยาผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 และผลกระทบต่อเกมการเมืองช่วงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีกำหนดจัดขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้
สำหรับประเด็นความเสี่ยงในประเทศ แม้ว่าบรรยากาศการเมืองไทยจะลดทอนความร้อนแรงลงไปบ้าง แต่จัดว่าเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการประกาศนัดชุมนุมใหญ่อีกครั้งในช่วงกลางเดือนตุลาคมนี้
ขณะที่ผู้ลงทุนส่วนใหญ่เริ่มโฟกัสกับปัจจัยผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3/63 ที่จะเริ่มทยอยประกาศกันออกมาในเร็วๆนี้
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ ประเมินภาพรวม SET INDEX ในสัปดาห์นี้มีโอกาสปรับตัวเป็นขาลง โดยกำหนดแนวรับไว้ 2 ระดับที่ 1,220 จุดและ 1,200 จุด พร้อมแนะระยะสั้นผู้ลงทุนควรหลีกเลี่ยงลงทุนหุ้นกลุ่มบิ๊กแคป โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ,กลุ่มพลังงาน และกลุ่มปิโตรเคมี ที่ภาพรวมของผลประกอบการยังไม่สดใส
"ตลาดหุ้นในเดือน ต.ค.ยังมีความเสี่ยงที่ปรับตัวหลุด 1,200 จุดได้เช่นกันหากตัวแปรที่ไม่แน่นอนเริ่มมีความชัดเจนทางลบมากขึ้น เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นไทยค่อนข้างเปราะบาง หากมีเม็ดเงินก้อนใหญ่เทขายนำมาก่อน น่าจะเห็นแรงขายตามออกมาได้เช่นกัน เป็นลักษณะการแย่งกันขายเพื่อลดความเสี่ยง จากเดิมผู้ลงทุนต่างชาติลดน้ำหนักขายหุ้นไทยอยู่แล้ว แต่วันนี้ผู้ลงทุนสถาบันไทย หรือกองทุน ก็กลับสถานะจากซื้อมาเป็นขาย เป็นสาเหตุให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยไหลลงมาต่อเนื่อง หลังจากนี้ต้องติดตามว่ากลุ่มผู้ลงทุนสถาบันจะกลับมาซื้อรอบใหม่หรือไม่"นายถนอมศักดิ์ กล่าว
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำเป็นแค่เก็งกำไรอย่างระมัดระวังในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่ไม่มีสัดส่วนการถือครองของผู้ลงทุนต่างชาติที่ปัจจุบันยังมีแนวโน้มขายหุ้นไทย เน้นเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานและแนวโน้มกำไรเติบโตได้ดีในครึ่งปีหลัง เพื่อลดความเสี่ยงจากแรงขาย ท่ามกลางกระแสข่าวเชิงลบที่ถาโถมเข้ามากระทบต่อบรรยากาศการลงทุน
"ตลาดหุ้นไทยวันนี้ถ้าอิงตามหลักเทคนิคเคิลราคาหุ้นหลายบริษัทเป็นการปรับตัวลงทำจุดต่ำสุดใหม่ (New low) ดังนั้นการเด้งกลับของราคาหุ้นแต่ละครั้งจะเป็นแค่การรีบาวด์ทางเทคนิคระยะสั้นเท่านั้น ไม่ได้เป็นลักษณะกลับตัวเป็นขาขึ้นรอบใหม่"นายถนอมศักดิ์ กล่าว
ธนาคารกสิกรไทยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทสำหรับสัปดาห์นี้ (5-9 ต.ค.) ที่ 31.50-31.80 บาทต่อดอลลาร์ฯโดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ประเด็นทางการเมือง และบทสรุปของมาตรการเยียวยาผลกระทบโควิด-19 ของสหรัฐฯ สถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกรวมถึงอัตราเงินเฟ้อเดือนก.ย. และปัจจัยทางการเมืองของไทย ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญระหว่างสัปดาห์ ได้แก่ ดัชนี PMI และ ISMภาคบริการเดือนก.ย. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เมื่อวันที่ 15-16 ก.ย. ที่ผ่านมา นอกจากนี้ตลาดอาจรอติดตามข้อมูล PMI ภาคบริการของประเทศชั้นนำอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
https://youtu.be/wzBIZ44k7NQ