CONSENSUS: โบรกฯแนะซื้อ TOA เล็งผลงานปีนี้โตดีจากปรับขึ้นราคาขาย-รุกขยายสินค้าพรีเมียม

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday May 31, 2021 15:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกฯเชียร์"ซื้อ"หุ้นบมจ. ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย)(TOA) เล็งผลดำเนินงานปีนี้ยังเติบโตได้ดีท่ามกลางการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ เนื่องจากบริษัทฯสามารถปรับขึ้นราคาขาย ชดเชยต้นทุนวัตถุดิบที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และยังรุกขยายสินค้าพรีเมี่ยมและสินค้าที่ไม่ใช่สีทาอาคาร พร้อมเปิดตัวโมเดลธุรกิจใหม่ MEGA PAINT Warehouse คาดกระตุ้นยอดขายเติบโตในอนาคต

ทั้งนี้ ยอดขายไตรมาส 2/64 ของ TOA อาจชะลอบ้าง หลังเข้าสู่ช่วงโลว์ซีซั่นตามปัจจัยด้านฤดูกาล และเผชิญผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่

หุ้น TOA ปิดเช้าที่ 38 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท (+2.01%) ขณะที่ดัชนี SET ปิดเช้าบวก 7.95 จุด

          โบรกเกอร์                            คำแนะนำ              ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
          บัวหลวง                                 ซื้อ                        45.00
          ทิสโก้                                   ซื้อ                        42.00
          เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)            ซื้อลงทุน                      40.00
          โนมูระ พัฒนสิน                            ซื้อ                        41.00
          เอเซีย พลัส                              ซื้อ                        39.50

นายสุรชัย ประมวลเจริญกิจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า มีมุมมองเชิงบวกกับหุ้น TOA แม้ว่าผลกระทบการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ในไทยระลอกใหม่จะกดดันให้ฝ่ายวิจัยฯปรับประมาณยอดขายปี 2564 เหลือเติบโต 8% จากเดิมคาดจะเติบโต 10% น่าจะเห็นความชัดเจนในไตรมาส 2/64 ประกอบกับเป็นช่วงโลว์ซีซั่นมีวันหยุดเทศกาลหลายวัน ขณะที่ตลาดต่างประเทศประเทศ โดยเฉพาะตลาดหลักอย่างประเทศเวียดนามที่มีสัดส่วน 6%-8% ของยอดขายรวมจะมีการระบาดเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่ด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม จากกลยุทธ์การเร่งลดต้นทุนเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมถึงการปรับเพิ่มขึ้นของราคาขาย ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทยังลดลงไม่มากคาดอยู่ที่ 36.3% หรืออาจจะใกล้เคียงกับปีก่อนที่ทำได้ 36.9% เป็นเหตุผลหลักให้ฝ่ายวิจัยฯปรับเพิ่มประมาณการกำไรอีก 6% อยู่ที่ 2,322 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 14% เป็นประมาณการแบบอนุรักษ์นิยมหลังจากกำไรไตรมาส 1/64 คิดเป็น 29% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2564

สำหรับกลยุทธ์การรักษาอัตรากำไรปีนี้มาจากผลการปรับตัวเพิ่มขึ้นของวัตถุดิบที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน เช่น TiO2 ซึ่งทางบริษัทได้ทยอยปรับราคาขายสินค้าขึ้น 5-10% ช่วงเดือน มี.ค. คิดเป็นสัดส่วน 15% ของพอร์ตสินค้ารวม และปรับขึ้นราคาขายอีกครั้งในเดือน พ.ค.-มิ.ย. คิดเป็นสัดส่วน 80%ของพอร์ตสินค้ารวม นอกจากนั้น มีการเปิดตัวโมเดลธุรกิจใหม่ MEGA PAINT Warehouse ศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและบริการจากทีโอเอครบวงจรแบบ One stop service ในช่วงไตรมาส 3/64 ที่มีแผนจะเปิดเพิ่มเป็น 4 สาขาจากปัจจุบันมีเพียง 1 สาขา และภายในไตรมาส 4/64 จะเปิดเพิ่มเป็นมากกว่า 10 สาขา เพื่อสนับสนุนการเติบโตในอนาคต

"แม้ว่าผลประกอบการไตรมาส 2/64 อาจจะเป็นโลว์ซีซั่น เนื่องจากเข้าสู่ฤดูกาลหน้าฝนและความต้องการที่ชะลอตัวจากผลกระทบการระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ แต่เชื่อว่าภาพรวมยอดขายตลอดทั้งปีจะอยู่กรอบที่คาดการณ์เติบโตราว 8% และด้วยกลยุทธ์ลดต้นทุน ปรับเพิ่มราคาขาย ควบคู่ไปกับการขยายสินค้าที่ไม่ใช่สีทาอาคารที่เป็นสินค้าพรีเมี่ยม ทำให้บริษัทสามารถรักษาศักยภาพทำกำไรไว้ได้เป็นอย่างดี ทำให้มองว่าการชะลอตัวผลประกอบการไตรมาส 2/64 จะไม่ใช่ตัวแปรกดดันประมาณการณ์อย่างมีนัยสำคัญ และหากแนวโน้มยอดขายสินค้ากลับมาเร่งตัวครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะไตรมาสสุดท้ายของปีน่าจะเป็นแรงสนับสนุนให้หุ้นของ TOA กลับมา Outperfrom ได้ดีขึ้น"นายสุรชัย กล่าว

ด้านบล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า ภาพระยะสั้นหุ้น TOA มีปัจจัยบวกจากการเข้าคำนวณในดัชนี "MSCI Small cap" และด้วยปัจจัยพื้นฐานแนวโน้มภาพรวมธุรกิจในประเทศไทยช่วงไตรมาส 2/64 ยังมีโอกาสฟื้นตัวสอดคล้องกับการฟื้นตัวกลุ่มค้าปลีกวัสดุก่อสร้างที่เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันแผนการปรับเพิ่มราคาขายในไทยราว 5-8% เริ่มปรับขึ้นเร็วกว่าคาด ส่งผลบวกต่ออัตราการเติบโตของผลประกอบการบริษัทช่วงครึ่งหลังของปีนี้และคาดจะต่อเนื่องถึงปี 2565 ที่คาดว่าจะกลับมาสู่รอบการเติบโตที่ดีเหมือนกับปี 2561

ส่วนบล.ทิสโก้ ระบุว่า แม้ว่าจะเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในไทย แต่บริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตยอดขายในประเทศไว้ที่ 5% และเติบโต 20% ในตลาดต่างประเทศ มองเห็นสัญญาณที่ดีหลังจากบริษัทคาดว่าจะมีการอัพเดทเป้ายอดขายตลอดทั้งปี 2564 อีกครั้งเมื่อปิดงบการเงินของไตรมาส 2/64 มีปัจจัยสนับสนุนจากรายได้ภาคการเกษตรและแนวโน้มเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวในครึ่งปีหลังท่ามกลางสถานการณ์ที่คาดว่าจะผ่อนคลายมากขึ้นหลังจากรัฐบาลทยอยฉีดวัคซีนให้กับประชาชนคนไทย

นอกเหนือจากแนวโน้มอุปสงค์ที่ดีขึ้นทั้งในไทยและเวียดนาม บริษัทยังสามารถปรับขึ้นราคาขายสินค้าและคุมต้นทุนด้านต่างๆ เช่น การลดการโฆษณาทางโทรทัศน์ เป็นต้น ช่วยชดเชยกับต้นทุนวัสดุที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ฝ่ายวิจัยฯปรับเพิ่มราคาพื้นฐานใหม่จาก 37.50 บาทเป็น 42 บาท ภายใต้การปรับประมาณกำไรสุทธิปี 2564-2566 เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9.20-12.10%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ