บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) เปิดเผยว่า ในไตรมาส /53 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 6,557 ล้านบาท ลดลง 10% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากผลการดำเนินงานที่ลดลงของธุรกิจกระดาษและธุรกิจซิเมนต์ และในไตรมาสก่อนมีเงินปันผลรับจากบริษัทอื่น โดยมี EBITDA เท่ากับ 10,961 ล้านบาท ลดลง 11% จากไตรมาสก่อน และมียอดขายเท่ากับ 79,061 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน
และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิลดลง 6% เนื่องจากมาร์จิ้นของเคมีภัณฑ์ และราคาขายปูนซิเมนต์ในประเทศลดลง ส่งผลให้บริษัทมี EBITDA ลดลง 14% ขณะที่มียอดขายเพิ่มขึ้น 22% จากปริมาณขายของกลุ่มธุรกิจส่วนใหญ่เพิ่มขึ้น
ในช่วง 9 เดือนปี 53 บริษัทมีกำไรสุทธิ 20,709 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจกระดาษ โดยมี EBITDA เท่ากับ 34,221 ล้านบาท ลดลง 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลการดำเนินงานที่ลดลงของบริษัทย่อยของเอสซีจี เคมิคอลล์
ขณะที่ ยอดขายสุทธิ 9 เดือนแรกของบริษัท เท่ากับ 225,071 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมเท่ากับ 6,513 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนือ่งจากบริษัทร่วมเธุรกิจคมีภัณฑ์ (ธุรกิจ PTAและ MWA)มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 52
ทั้งนี้ หากจำแนกตามกลุ่มธุรกิจหลักของบริษัท ได้แก่ เอสซีจี เคมิคอลล์ ในไตรมาส 3/53 มียอดขายเท่ากับ 39,639 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นของโครงการแครกเกอร์ แห่งที่ 2 ส่งผลให้ธุรกิจมี EBITDA ในไตรมาสนี้เท่ากับ 4,289 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 3% แต่ลดลง 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมาร์จิ้นของเอฺธิลีนลดลง โดยกำไรสุทธิในไตรมาสนี้เท่ากับ 3,845 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จากไตรมาสก่อน
ในไตรมาส 3/53 ราคานาฟทา เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 666 เหรียญ/ตัน ลดลง 44 ต่อตัน จามไตรมาสก่อน เนื่องจากราคาน้ำมันดิบลดลง และปริมาณการผลิตของกลุ่มประเทศภูมิภาคตะวันออกกลาง และอินเดียเพิ่มขึ้น แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเพิ่มชึ้น 57 เหรียญ/ตัน เนื่องจากราคาน้ำมันดิบเพิ่มึ้น8 เหรียญเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนราคา HDPE เฉลี่ยอยู่ที่ 1,120 เหรียญ/ตันลดลง 67 เหรียญ/ตัน จากไตามาสก่อน แต่เพื่มขึ้น 57% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 18 เหรียญ/ตันเมื่อเทีบบกับช่วงเดียวกับของปีก่อน
ด้านปริมาณขายโพลิเมอร์ (HPDE และ PP)ในไตรมาสนี้ เท่ากับ 432,000 ตัน เพิ่มขึ้น 68,000 ตัน จากไตรมาสก่อน เนื่องจากโครกงารแครกเกอร์ แห่งที่ 2 มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ซึ่งประกอบด้วยโรงงาน Naphtha cracker รวมทั้ง HDPE และ PPที่มีกำลังการผลิตอยู่ 8 เสนตัน
สำหรับราคา PVC ในไตรมาสนี้ ราคาโดยเฉลี่ยที่ 893 เหรียญ/ตัน ลดลง 100 เหรียญ/ตัน จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 11 เหรียญ/ตัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาของ EDC และ VCM ที่ลดลง ทำให้มาริ์จิ้นของ PVC ในไตรมาสนี้ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 311 เหรียญ/ตัน แต่เพิ่มขึ้น 52 เหรียญ/ตัน เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปริมาณขาย PVC เท่ากับ 1.99 แสนตัน เพิ่มขึ้น 17% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนือ่งจากการขยายกำลังการผลิตของโรงงาน PVC ในประเทศเวียดนาม
สำหรับ ธุรกิจเอสซีจี เปเปอร์ ในไตรมาส 3/53 มียอดขายสุทธิ 13,461 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น และปริมาณขายของกระดาษบรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนเพิ่มขึ้น 5% โดยมี EBITDA เท่ากับ 2,403 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาและปริมาณขายผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น แต่ลดลง 9% จากไตรมาสก่อน จากมาร์จิ้นลดลง ทั้งนี้ ธุรกิจมีกำไรสุทธิ 931 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 20% จากไตรมาสก่อน
ส่วนธุรกิจเอสซีจี ซีเมนต์ ในไตรมาสนี้มียอดขายสุทธิ เท่ากับ 12,054 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณขายในประเทศเพิ่มขึ้น และใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน โดยธุรกิจมี EBITDA เท่ากับ 2,486 ล้านบาท ลดลง 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 5% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากต้นทุนพลังงานเพิ่มขึ้น และราคาขายในประเทศลดลง ทั้งนี้ธุรกิจมีกำไรสุทธิไตรมาสนี้ เท่ากับ 1,332 ล้านบาท ลดลง 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 11% จากไตรมาสก่อน
ขณะที่เอสซีจี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในไตรมาส 3 นี้มียอดขายสุทธิ เท่ากับ 7,721 ล้านบาท ลดลง 1% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากบมจ.ควอลิตี้ คอนสตรัคชั่น โปรดักส์ (QCON) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ในไตรมาสนี้มี EBITDA เท่ากับ 1,481 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนือ่งจากสามารถประหยัดต้นทุนการผลิตได้ ทำให้มีกำไรสุทธิในไตรมาสนี้ เท่ากับ 524 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25%จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
และธุรกิจเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น มียอดขายเท่ากับ 24,056 ล้านบาท ลดลง 1% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูฝน และมี EBITDA เท่ากับ 337 ล้านบาท ลดลง 9% หรือ 33 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายกิจกรรมส่งเสริมการตลาดมากขึ้น และมีกำไรสุทธิ 244 ล้านาท เพิ่มขึ้น 8% หรือ 19 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน