บมจ. พรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL) และบริษัทย่อย เปิดเผยผลกระกอบการ งวด 3 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.53 บริษัทและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิรวม 173.90 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับกำไรสุทธิรวม 703.11 ล้านบาท สำหรับงวดเดียวกันของปี 52 เหตุผลหลักมารายได้จากการเดินเรือสุทธิ (รายได้จากการเดินเรือสุทธิจากรายจ่ายท่าเรือและน้ำมันเชื้อเพลิง) ของไตรมาส3 ปี 53 ลดลง จากไตรมาสเดียวกันของปี 52 ประมาณร้อยละ 35
สาเหตุส่วนใหญ่เนื่องมาจากการลดลงของจำนวนเรือที่ดำเนินงานในไตรมาสนี้ จากการขายเรือที่มีอายุมากของกองเรือออกไป และเนื่องจากรายได้จากการเดินเรือโดยเฉลี่ยต่อวันต่อลำเรือลดลงจาก 13,110 ดอลล่าร์สหรัฐ ในไตรมาส 3ปี 52 เป็น 12,456 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับไตรมาสนี้
อีกทั้งอัตราแลกเปลี่ยนดอลล่าร์สหรัฐต่อเงินบาทเฉลี่ยของไตรมาส 3/53 ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/52 ซึ่งทำให้รายได้จากการเดินเรือน้อยลง รายได้จากการเดินเรือสำหรับไตรมาส 3/53 มาจากกองเรือเฉลี่ยจำนวน 21 ลำ ในขณะที่ในไตรมาส 3/52 มี กองเรือเฉลี่ยจำนวน 29 ลำ ไม่มีการขายหรือซื้อเรือในระหว่างไตรมาสนี้ ทำให้บริษัทฯ มีกองเรือเท่ากับ 21 ลำ ณ วันที่ 30 ก.ย.53
ไตรมาส 3/53 ค่าใช้จ่ายในการเดินเรือลดลงร้อยละ 40 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 52 เนื่องจากการลดลงของจำนวนเรือที่ดำเนินงานในระหว่างไตรมาสนี้ดังที่ได้อธิบายข้างต้น และค่าใช้จ่ายในการเดินเรือโดยเฉลี่ยต่อวันต่อลำเรือได้ลดลงจาก 5,008 ดอลล่าร์สหรัฐ สำหรับไตรมาส 3/52 มาอยู่ที่ 4,615 ดอลล่าร์สหรัฐ สำหรับไตรมาสเดียวกันของปี 52 (รวมค่าใช้จ่ายตัดบัญชีสำหรับค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมและสำรวจเรือของทั้งสองงวด) อีกทั้งอัตราแลกเปลี่ยนดอลล่าร์สหรัฐต่อเงินบาทเฉลี่ยของไตรมาส 3/53 ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปี 52 ซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินเรือน้อยลง
นอกจากนี้ ไตรมาส 3/53 ไม่มีรายการกำไรจากการขายเรือในไตรมาสนี้ ในขณะที่บริษัทฯ มีการบันทึกกำไรจากการขายเรือจำนวน 221.90 ล้านบาท ในไตรมาส 3/52
สำหรับงวด 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.53 บริษัทและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิรวม 720.28 ล้านบาท ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับกำไรสุทธิรวม 2,630.42 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปี 52 เนื่องจากรายได้จากการเดินเรือสุทธิ (รายได้จากการเดินเรือสุทธิจากรายจ่ายท่าเรือและน้ำมันเชื้อเพลิง) ลดลงประมาณร้อยละ 50
สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการลดลงของจำนวนเรือ และอัตราแลกเปลี่ยนดอลล่าร์สหรัฐต่อเงินบาทเฉลี่ยที่ต่ำกว่า รวมทั้งรายได้จากการเดินเรือโดยเฉลี่ยต่อวันต่อลำเรือลดลงจาก 13,727 ดอลล่าร์สหรัฐ ของงวด 9 เดือนของปี 52 เป็น 12,279 ดอลล่าร์สหรัฐสำหรับของงวด 9 เดือนของปี 53 โดยรายได้มาจากกองเรือเฉลี่ยจำนวน 22 ลำ ในขณะที่งวดเดียวกันของปี 52 มีกองเรือเฉลี่ยจำนวน 35 ลำ
แต่ด้านค่าใช้จ่ายในการเดินเรือลดลงร้อยละ 47 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปี 52 เนื่องจากการลดลงของจำนวนเรือที่ดำเนินงานในงวดนี้ และอัตราแลกเปลี่ยนดอลล่าร์สหรัฐต่อเงินบาทเฉลี่ยที่ต่ำกว่า รวมทั้งการลดลงของค่าใช้จ่ายในการเดินเรือโดยเฉลี่ยต่อวันต่อลำเรือจาก 5,114 ดอลล่าร์สหรัฐ สำหรับงวด 9 เดือนของปี 52 มาอยู่ที่ 4,803 ดอลล่าร์สหรัฐ สำหรับงวดเดียวกันของปี 53 (รวมค่าใช้จ่ายตัดบัญชีสำหรับค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมและสำรวจเรือ)
ในงวด 9 เดือนของปี 53 บริษัทฯ ได้บันทึกกำไรจากการขายเรือ จำนวน 390.43 ล้านบาท ซึ่งเป็นกำไรจากการขายและส่ง มอบเรือแล้วในครึ่งปี แรกของปี 53 จำนวน 5 ลำ โดยบริษัทฯมีกำไรจากการขายเรือสำหรับงวดเก้าเดือน ปี 2552 มีจำนวน 593.41 ล้านบาท และ บริษัทฯ ได้บันทึกขาดทุนสุทธิจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 103.70 ล้านบาท สำหรับงวด 9 เดือนของปี 53 ในขณะที่งวดเดียวกันของปี 52 บริษัทฯ บันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 48.37 ล้านบาท
การขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนมาจากการแข็งค่าของอัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ ทำให้มีกำไรจากการแปลงค่าเงินกู้ระยะยาวที่อยู่ในรูปสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ได้มาสุทธิกับขาดทุนที่มีจำนวนสูงกว่าจากการแปลงรายการสินทรัพย์หมุนเวียนสุทธิที่อยู่ในรูปสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นสกุลเงินบาทเพื่อแสดงในงบดุล
อีกทั้งบริษัทฯ มีภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับงวด 9 เดือนของปี 2553 จำนวน 80.53 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่จำนวน 43.62 ล้านบาท ซึ่งเป็นภาษีเงินได้นิติบุคคลที่เกิดจากกำไรจากการขายเรือ