ฟิทช์ เพิ่มเครดิต DTAC เป็น BBB แนวโน้มเสถียรภาพสะท้อนฐานะการเงินแกร่ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 23, 2010 10:01 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศเพิ่มอันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คแซสคอมมูนิเคชัน (DTAC) เป็น ‘BBB’ จาก ‘BBB-’ อันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวเป็น ‘AA-’ จาก ‘A+ ’ อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นเป็น ‘F1+’ จาก ‘F1’ และอันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันเป็น ‘AA-’ จาก ‘A+’

แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ การปรับเพิ่มอันดับเครดิตของ DTAC สะท้อนถึงสถานะทางการเงินของบริษัทที่แข็งแกร่งขึ้น ฐานะการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับเมื่อสามปีที่แล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับลดค่าใช้จ่าย เงินลงทุนในการขยายเครือข่าย 2G ที่ลดลง และความล่าช้าในการออกใบอนุญาต 3G ปัจจัยดังกล่าวทำให้ DTAC มีความคล่องตัวทางการเงินมากขึ้นและสามารถรักษาอัตราส่วนกำไรมิให้ปรับตัวลดลง เพื่อรองรับการลงทุนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า จากการที่บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง ณ สิ้นไตรมาสที่ 3/53 ทำให้ DTAC มีเงินสดสุทธิ (มีเงินสดมากกว่าหนี้สิน)

อย่างไรก็ตาม ฟิทช์คาดว่าบริษัทจะกลับไปมีหนี้สินสุทธิ (มีหนี้สินมากกว่าเงินสด) ณ สิ้นปี 53 เนื่องจากบริษัทต้องจ่ายค่าส่วนแบ่งรายได้ อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงทรัพย์สินและหนี้สินดำเนินงาน (FFO adjusted net leverage) ของ DTAC ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 1.0 เท่า ณ สิ้นปี 52 และ 0.2 เท่า ณ สิ้นไตรมาสที่ 3/53 (ณ สิ้นปี 51: 1.8 เท่า) ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิดังกล่าวของ DTAC จะอยู่ที่ 0.5 เท่า ณ สิ้นปี 53

ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของฟิทช์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก ฟิทช์จัดอันดับเครดิตของ DTAC โดยเริ่มจากการพิจารณาเครดิตของ DTAC โดยลำพัง (Standalone Rating) แล้วจึงพิจารณาถึงปัจจัยเสริมจากความสัมพันธ์ดังกล่าว (Bottom-up Approach) โดยฟิทช์ได้ให้อันดับเครดิตเพิ่มขึ้นหนึ่งอันดับจากอันดับเครดิต Standalone ของ DTAC เพื่อสะท้อนถึงความเกี่ยวเนื่องทางด้านการดำเนินงานและด้านกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจระหว่าง DTAC กับบริษัทแม่ Telenor (ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศที่ ‘BBB+’/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งถือหุ้นใน DTAC ทั้งทางตรงและทางอ้อมอยู่ 65.5% และมีอำนาจควบคุมคณะกรรมการและผู้บริหารของ DTAC

อันดับเครดิตของ DTAC ยังสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดของบริษัทที่แข็งแกร่ง โดยบริษัทเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 2 ของประเทศ

อย่างไรก็ตามอันดับเครดิตของ DTAC ได้พิจารณารวมถึงความกังวลเกี่ยวกับแผนการลงทุนในระบบ 3G ที่สูงซึ่งประกอบด้วยค่าใบอนุญาตและค่าก่อสร้างเครือข่าย ถึงแม้ว่ากระบวนการการออกใบอนุญาต 3G ยังมีความไม่แน่นอน ฟิทช์มองว่าในที่สุดผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือจะต้องเปลี่ยนไปสู่ระบบใบอนุญาต 3G

ถึงแม้ว่าการลงทุนที่สูงขึ้นจากระบบ 3G อาจทำให้อัตราส่วนหนี้สินของ DTAC เพิ่มขึ้น ฟิทช์มองว่าอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทซึ่งอยู่ในระดับต่ำ ณ ปัจจุบันน่าจะทำให้บริษัทมีความคล่องตัวทางการเงินเพียงพอเพื่อรองรับการลงทุนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว

ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ของบริษัทประกอบด้วยความไม่แน่นอนทางด้าน นโยบาย กฎหมาย และกฎระเบียบของกิจการโทรคมนาคม ซึ่งรวมถึงการแปลงสัญญาสัมปทานระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G การปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการจำกัดการถือหุ้นของต่างชาติที่เข้มงวดขึ้น และการสอบสวนการแก้ไขสัญญาสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ในอดีต นอกจากนี้การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่อาจส่งผลกระทบต่ออัตราส่วนกำไรของบริษัทได้

แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพของ DTAC สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาความแข็งแกร่งของผลประกอบการ และรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดและอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทในระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิต ณ ปัจจุบันถึงแม้จะมีการลงทุนที่สูงในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

การปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของสัดส่วนรายได้จากการให้บริการที่ไม่ใช่เสียง (Non-voice Revenue) จนมีสัดส่วนมากกว่า 25% ของรายได้จากการให้บริการทั้งหมดของบริษัท จาก 14% ในไตรมาสที่ 3/53 และ/หรือ การขยายตัวของขนาดธุรกิจจนทำให้ส่วนทางการตลาดทางด้านรายได้จากการให้บริการเพิ่มขึ้นจนใกล้เคียงกับผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถืออันดับหนึ่งของประเทศ โดยบริษัทยังคงรักษา FFO adjusted net leverage ให้ต่ำกว่า 1.0 เท่า ถึงแม้ว่าจะมีการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในระบบ 3G น่าจะเป็นปัจจัยบวกต่ออันดับเครดิต

ขณะที่การเปลี่ยนแปลงทางด้านกฎระเบียบของกิจการโทรคมนาคมที่ส่งผลในแง่ลบต่อบริษัท ความสัมพันธ์ทางด้านการดำเนินงานและด้านกลยุทธ์ในการดำเนินงานกับบริษัทแม่ที่ลดลง และการลงทุนและการจ่ายเงินปันผลที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าที่คาดไว้ซึ่งส่งผลให้ FFO adjusted net leverage สูงกว่า 1.5 เท่า อย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลกระทบในแง่ลบต่ออันดับเครดิตของบริษัทได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ