นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังหนุน“ซื้อ"บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา(CPN)แม้ปีนี้การทำกำไรสุทธิจะลดลงจากปีก่อน เนื่องมาจากผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองและเหตุการณ์ไฟไหม้ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ที่ทำรายได้หลัก ซึ่งส่งผลกโดยตรงต่อรายได้และยังทำให้ไตรมาส 4/53 อาจมีผลประกอบการขาดทุน เนื่องจากต้องมีการบันทึกการด้อยค่าสินทรัพย์จากเหตุไฟไหม้ประมาณ 800-100 ล้านบาท
แต่ภาพรวมธุรกิจยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะบริษัทมีโครงการลงทุนทั้งการเปิดศูนย์การค้าใหม่ๆปีละ 3 แห่งและการลงทุนในต่างประเทศที่จะช่วยเพิ่มยอดขายและการเพิ่มช่องทางการตลาดมากขึ้น โดยในปี 54 การทำกำไรและการทำธุรกิจจะเริ่มกลับเข้าสู่การเติบโตตามภาวะปกติ
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.กิมเอ็ง ซื้อ 30.00 บล.เคจีไอ ซื้อ 38.00 บล.เอเซีย พลัส ซื้อ 32.12 บล.ไอร่า ซื้อเก็งกำไร 33.25 บล.ซิกโก้ ซื้อ 35.00 บล.ธนชาต ซื้อ 36.50
นางสาวสุทธาทิพย์ พีรทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)ประเมินว่าไตรมาส 4/53 CPN อาจมีการขาดทุนจากการบันทึกการด้อยค่าของสินทรัพย์หากการคุ้มครองจากเหตุการณ์ไฟไหม้ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ยังไม่มีข้อสรุป โดยคาดว่าจะมีการบักทึกด้อยค่าประมาณ 1 พันล้านบาท
แต่ภาพรวมทั้งปี 53 มองว่าบริษัทยังมีผลกำไรประมาณ 1.7 พันล้านบาท(ยังไม่รวมการบันทึกด้อยค่าสินทรัพย์ ประมาณ 1 พันล้านบาท)ซึ่งได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองและไฟไหม้ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ในช่วงไตรมาส 2-3/53 ขณะที่ปี 54 บริษัทจะกลับมาดำเนินธุรกิจได้เต็มที่จากโครงการใหม่ๆ และการกลับมาเปิดให้บริการเซ็นทรัลเวิลด์บางส่วน โดยคาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิประมาณ 2.3 พันล้านบาท ยังไม่รวมกรณีได้รับเงินชดเชยประกันภัยจากเหตุก่อการร้ายและธุรกิจหยุดชะงัก
“เคลมประกันยังไม่มีข้อสรุป ทำให้ประเมินว่าไตรมาส 4 บริษัทอาจบันทึกบัญชีขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ก่อน เพราะช่วงที่ผ่านมาบริษัทยังไม่มีการบันทึกส่วนนี้ แต่ภาพรวมบริษัทยังเติบโตได้ต่อเนื่อง ดังนั้น ปีหน้าหากมีการเคลมประกันได้ข้อสรุปก็จะบันทึกตีกลับมาทำให้มีกำไรโตขึ้นด้วย"นางสาวสุทธาทิพย์ กล่าว
ทั้งนี้ มองว่า CPN มีศักยภาพเติบโตอย่างมั่นคงจากรายได้ค่าเช่าจากโครงการปัจจุบันที่มีอัตราเข้าเช่าสูงและยังมีโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ในปี 54 กำไรจะฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญหลังจากปีนี้ได้รับผลลบจากการเปิดเซ็นทรัลเวิลด์ โดยจะมีการเปิด 3 โครงการใหม่ที่เชียงราย พิษณุโลก และ พระราม 9 ขณะที่แผนการลงทุน ทำให้อัตราหนี้สินต่อทุนอยู่ไม่เกิน 1 เท่า
นางสาวธนินี สถิรเรืองชัย นักวิเคราะห์ บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)กล่าวว่า ยังให้มุมมองการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว และเชื่อว่าราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงจากปัจจัยลบเกี่ยวกับผลขาดทุนทางบัญชีในไตรมาส 4/53
ดังนั้น แม้จะเกิดเหตุไฟไหม้ที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ แต่ CPN ยังมีการขยายธุรกิจในระยะยาวและยังคงเป็นไปตามแผน เปิดห้างใหม่ปีละประมาณ 3 แห่ง โดยมีพื้นที่ค้าปลีกรวม 1 แสนตรม. ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ เติบโตรายได้ได้อย่างสม่ำเสมอที่ 15.0% ต่อปี
ในปี 54 บริษัทฯ คาดว่าจะเปิด 3 ห้างใหม่ ประกอบด้วย Central Plaza เชียงราย พิษณุโลก และพระราม 9) จากนั้น ปี 55-56 บริษัทฯจะเปิดที่อุดรธานี สุราษฎร์ธานี และเชียงใหม่ แผนดังกล่าวจะทำให้พื้นที่เช่าสุทธิเพิ่มขึ้น 32.7% เป็น1.27 ล้าน ตรม.โดยมี 21 ศูนย์การค้าภายใต้การบริหาร และในแง่ของเงินลงทุนนอกจากกระแสเงินสดภายในบริษัทฯ หุ้นกู้ และเงินกู้จากธนาคารแล้ว CPN จะยังคงใช้การขายสินทรัพย์ให้กับกองทุนรวมอสังหาฯ CPNRF เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการระดมเงินทุนอีกด้วย
บล. ซิกโก้(SSEC) ออกบทวิเคราะห์ว่า กำไรสุทธิปี 53 ของ CPN จะลดลงถึง 83.3% จากปีก่อน จากความวุ่นวายทางการเมือง ทำให้ต้องปิดสาขา Central World และเกิดเพลิงไหม้ขึ้น ความเสียหายที่เกิดแม้จะได้รับเงินชดเชยจากการทำประกัน แต่เพราะความล่าช้าของการจ่ายชดเชยเงินประกันที่ไม่ทันในปีนี้ และเป็นผลให้ในไตรมาส 4/53 ต้องรับรู้การด้อยค่าของสินทรัพย์ที่ประมาณ 800 ลบ. โดยเป็นผลให้ใน 4Q10E เกิดผลประกอบการติดลบ
แต่ยังมีข่าวดีที่เกิดขึ้นในไตรมาส 4/53 เนื่องจากส่วนพื้นที่ของ Central World สามารถเริ่มเปิดได้ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ย. และจะทะยอยเปิดให้ครบทุกโซน (ยกเว้นส่วนห้าง ZEN) ภายใน 23 ธ.ค. นี้ ซึ่งตรงกับช่วงเริ่มเทศกาลจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่สูงมากๆ (High Season) กอปรกับการกลับเข้ามาของร้านค้าเช่าภายในศูนย์การค้าลาดพร้าว ที่เลื่อนปิดไปเป็นปีหน้า และมีการเปิดโรงแรมฮิลตันพัทยาบีชด้านบนศูนย์การค้าพัทยาเพื่อเป็นการต่อยอดธุรกิจและเพิ่ม Traffic จึงคาดว่าคาดรายได้ในไตรมาส 4/53 จะกลับมาสูงขึ้นโดดเด่นถึง 30%
นอกจากนี้ภาพรวมธุรกิจ ที่ CPN มีแผนขยายโครงการไปในต่างจังหวัดมากขึ้น โดยเตรียม เปิด 3 โครงการใหม่ในปีหน้า เซ็นทรัลพลาซ่า เซ็นทรัลพลาซ่าพิษณุโลก และ เซ็นทรัลพลาซ่าพระราม 9 ที่จะช่วยเพิ่มยอดขายต่อเนื่อง รวมถึงแผนการลงทุนต่างประเทศ ที่จะช่วยเพิ่มช่องทางการตลาดมากขึ้น โดยใช้แหล่งเงินทุนจะมาจากการใช้วงเงินกู้ของธนาคารที่มี และการขายทรัพย์สินเข้ากองทุน ดังนั้นราคาหุ้นปัจจุบันเทียบกับราคาเหมาะสมที่ SSEC ให้ผลตอบแทนรวมเท่ากับ 34.7% ซึ่งมี Upside Gain อยู่ที่ 33.3% และ Dividend Yield ที่ 1.3%