KBANK ฝากความหวัง 4 ผู้ประสานงานภูมิ ดันสินเชื่อปี 54 โตตามเป้า 7-9%

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday January 7, 2011 08:59 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกฤษฎา ล่ำซำ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ผู้ประสานงานภูมิด้านธุรกิจ ธนาคารกสิกรไทย(KBANK)เปิดเผยว่า ในปี 54 คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในอัตรา 3.5-4.5% โดยยังมีปัจจัยเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อจะปรับสูงขึ้นจาก 2.75-2.8% เป็นมากกว่า 3% ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจในช่วงขาขึ้น อาจทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ต้องมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะฟองสบู่ จึงคาดว่าดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้นจาก 2% เป็น 2.75%

ดังนั้น ในปี 54 ธนาคารจึงตั้งเป้าสินเชื่อเติบโต 7-9% ซึ่งเป็นระดับใกล้เคียงกับการเติบโตของสินเชื่อในระบบธนาคารพาณิชย์ที่จะขยายตัว 1.5-2 เท่าของจีดีพี โดยปีนี้ธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อไม่สูงกว่าระบบธนาคารพาณิชย์เนื่องจากยังมีปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจและเน้นการเติบโตสินเชื่ออย่างมีคุณภาพ

ส่วนกลยุทธการดำนินธุรกิจของธนาคารแยกตาม segment นั้น ในส่วนของสินเชื่อ Corperate เชื่อว่าปีนี้ธุรกิจขนาดใหญ่จะมีการระดมทุนกันมากเพื่อล็อคต้นทุนในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น ธนาคารจะจึงเน้นการทำงานประสานกับธุรกิจในเครือเพื่อช่วยวางแนวทางระดมทุนทั้งการออกหุ้นกู้ การหาดอกเบี้ยคงที่

ขณะที่ธุรกิจ SMEs ซึ่งปัจจุบันธนาคารมีส่วนแบ่งการตลาด 30% ธนาคารยังคงดูแลการครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 โดยปีนี้ตั้งเป้าสินเชื่อ SMEs เติบโต 8-10% สะท้อนความเสี่ยงและการให้ความสำคัญในการดูแลลูกค้า โดยเน้นทุกผลิตภัณฑ์ที่สนองความต้องการลูกค้าไม่เฉพาะสินเชื่อเท่านั้น ส่วนลูกค้ารายย่อยในปีนี้จะมีกลยุทธการสร้างบุคลากรที่พูดคุยกับลูกค้าได้อย่างมีความหมาย ดูแลลูกค้าได้ทั้งด้านดีและไม่ดี และจะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเพื่อสนองความต้องการลูกค้าอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยเดือนละ 1 ผลิตภัณฑ์

นายปรีดี ดาวฉาย รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ผู้ประสานงานภูมิด้านบริหารความเสี่ยง กล่าวว่า เศรษฐกิจในปีนี้ยังมีความเสี่ยงจากปัญหาเศรษฐกิจโลกทั้งเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปยังมีปัญหา ขณะที่ปัญหาภายในยังมีความเสี่ยงเรื่องการเมือง ที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ ที่หากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล อาจทำให้ความต่อเนื่องในการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ เปลี่ยนแปลง และอาจทำให้การขยายตัวเศรษฐกิจสะดุด

ส่วนทิศทางเงินบาท แม้กระแสความกังวลการแข็งค่าจะคลี่คลายลง แต่เงินบาทก็จะยังแข็งค่าต่อเนื่อง เนื่องจากการที่เศรษฐกิจโลกยังไม่ดี ทำให้ยังมีเงินทุนไหลเข้าในระยะสั้น ส่วนอัตราเงินเฟ้อจะปรับสูงขึ้น จากราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น รวมถึงดอกเบี้ยในช่วงขาขึ้น ซึ่งเป็นวัฎจักรที่ต้องแก้ไข

ดังนั้น ความเสี่ยงดังกล่าวอาจส่งผลให้ลูกค้ามีปัญหาชำระหนี้ ธนาคารจึงมีการวางกลยุทธและการปฎิบัติการไม่ให้เกิดความเสียหาย โดยจะมีการดูแลความเสี่ยงทั้งด้านการผลิต จากความผันผวนของดอกเบี้ย ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ความเสี่ยงด้านเครดิต

นายสมเกียรติ ศิริชาติไชย รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ผู้ประสานงานภูมิด้านทรัพยากร กล่าวว่า ธนาคารจะดูแลเรื่องการขาดแคลนทรัพยากรบุคคล โดยเฉพาะบุคลากรระดับปริญญาโท และมีประสบการณ์ ซึ่งแต่ละปีมีแรงงานป้อนสู่ตลาด 10,000 คน ขณะที่ปีนี้ 4 ธนาคารใหญ่มีความต้องการทรัพยากรกลุ่มนี้ 3,000 คน ดังนั้น อาจมีการแย่งบุคลากรกลุ่มนี้

ขณะเดียวกัน ธนาคารจะต้องมีการจัดการทรัพยากรที่มีความหลากหลาย มีการจัดตำแหน่งงานตามลำดับความสำคัญและมีโครงสร้างบุคลากรที่เอื้ออำนวยต่อการทำงานให้มีประสิทธิภาพ โดยยกระดับการจัดการใน 3 ด้าน คือ วัฒนธรรมการทำงานเพื่อเอื้อสู่ยุทธศาสตร์การทำงานเป็นทีม มืออาชีพ การมีภาวะผู้นำ และมีความเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ ซึ่งทั้งหมดเพื่อยกระดับความสามารถของเครือธนาคาร

นายธีรนันท์ ศรีหงส์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ผู้ประสานงานภูมิด้านโครงสร้างพื้นฐาน กล่าวว่า ธนาคารยังคงมีการพัฒนาด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างต่อเนื่องไปอีก 2-3 ปี ทั้งการบริหารความเสี่ยง การจัดการด้าน Accounting Budgetting และการบริหารความเสี่ยงจากนโยบายทางการตามมาตรฐานบาเซิล II และมีระบบที่ให้พนักงานสามารถรู้จักลูกค้ามากขึ้น ทั้งจากการสำรวจ การใช้ข้อมูลการใช้บริการของลูกค้า การวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า การจัดการคุณภาพการขายสินค้าและบริการ รวมถึงการมีนวัติกรรมสินค้าและบริการอย่างรวดเร็ว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ