นักวิเคราะห์เห็นพ้องหนุน "ซื้อ" ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ยังมีการเติบโตการทำกำไรต่อเนื่อง โดยปี 53 มีกำไรสุทธิกว่า 20,000 ล้านบาท เติบโต 36% ผลการการขยายสินเชื่อมากขึ้น ต้นทุนเงินฝากลดลง และรายได้จากธุรกิจประกันชีวิตหลังการซื้อกิจการกลุ่มเมืองไทย กรุ๊ป โฮลดิ้ง ขณะที่การปรับมาตรฐานทางบัญชีใหม่ของธนาคารไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการ
ส่วนปี 54 คาดธนาคารยังทำกำไรเติบโตได้ดีต่อเนื่องแต่อาจชะลอลงจากปีก่อน ขณะที่ช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น จะสร้างความได้เปรียบกับธนาคารขนาดใหญ่มากกว่าธนาคารขนาดเล็ก ที่ทำให้ต้นทุนลดลงและสเปรดที่เพิ่มขึ้น แต่อาจมีความเสี่ยงจากผลจากเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงขึ้น อาจทำให้ต้องมีการปล่อยสินเชื่ออย่างมีคุณภาพเพื่อป้องกันการเกิดหนี้เสีย
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.กรุงศรีฯ ซื้อ 152 บล.โกลเบล็ก ซื้อ 163 บล.ทิสโก้ ซื้อ 160 บล.ฟาร์อีสท์ ซื้อ 154 บล.เกียรตินาคิน ซื้อ 154 บล.ซิกโก้ ซื้อ 148 บล.ฟิลลิป ซื้อ 162.90 บล.ยูไนเต็ด ซื้อ 154
นายธนัท รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า KBANK มีการเติบโตต่อเนื่องในปี 53 โดยมีกำไรสุทธิ 20,000 ล้านบาท เติบโต 36% จากการขยายสินเชื่อ และ NIM ที่ปรับสูงขึ้นหลังการซื้อกิจการ เมืองไทย กรุ๊ป โฮลดิ้ง ทำให้รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับสูงขึ้นกว่าเท่าตัว และค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ลดลงตามคุณภาพสินเชื่อที่แข็งแกร่ง
แม้ไตรมาส 4/53 ธนาคารมีการปรับมาตรฐานบัญชีใหม่ตามมาตรฐานการบัญชีฉบับ 19(IAS 19) เรื่องผลประโยชน์ของพนักงาน และมาตรการบัญชีฉบับ 12 เรื่องภาษีเงินได้ ผลที่เกิดจากการปรับปรุงงบการเงินส่งผลต่อรายการในงบดุลมากกว่างบกำไรขาดทุน และมีผลต่อเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงขั้นที่ 1 ในไตรมาส 4/53 ลดลงจาก 10.6% เหลือ 9.4% แต่ยังเป็นระดับเงินกองทุนที่แข็งแกร่งและสูงกว่าเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด และมองว่าการปรับปรุงระบบบัญชีไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพื้นฐานธนาคารอย่างมีนัยสำคัญ
ส่วนปี 54 มองว่า KBANK ยังสามารถทำกำไรและปล่อยสินเชื่อได้ต่อเนื่อง แต่อาจชะลอลงจากปี 53 โดยคาดว่า ธนาคารจะมีกำไรสุทธิ 24,000 ล้านบาท เติบโต 20% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่คาดว่ากำไรเติบโต 13-15% ทั้งนี้ มองดอกเบี้ยในช่วงขาขึ้นในปีนี้น่าจะเป็นผลดีต่อธนาคารขนาดใหญ่มากกว่าธนาคารขนาดเล็กที่เสปรดจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากโครงสร้างสินเชื่อส่วนใหญ่จะเป็นสินเชื่อรายใหญ่ สินเชื่อบุคคล ซึ่งเมื่อดอกเบี้ยปรับขึ้น รายได้ดอกเบี้ยจะปรับขึ้นตาม แต่ธนาคารขนาดเล็กจะมีพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะเป็นดอกเบี้ยแบบคงที่
ขณะที่ด้านเงินฝาก การปรับขึ้นดอกเบี้ยจะมีทั้งออมทรัพย์และเงินฝากประจำ เป็นทิศทางเดียวกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ ขณะที่ธนาคารขนาดเล็กที่ต้องเร่งระดมเงินฝาก อาจต้องมีการเสนอดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงกว่าธนาคารขนาดใหญ่เพื่อแย่งฐานเงินฝาก
อย่างไรก็ตาม ในปี 54 ยังมีข้อจำกัดของการดำเนินธุรกิจธนาคารที่ดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และเงินบาทยังแข็งค่า ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อลูกค้าธนาคารที่มีต้นทุนสูงขึ้น ดังนั้น ธนาคารจึงต้องมีการคัดเลือกสินเชื่อแก่ลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น รวมถึงติดตามความเสี่ยงที่อาจเกิดกับลูกค้าเดิมเพื่อไม่ให้กลายเป็นปัญหาหนี้เสีย
ด้านนายอดิสรณ์ มุ่งพาลชล นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า ปี 53 KBANK มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 34.6% เนื่องจากการปล่อยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นและต้นทุนเงินฝากลดลง ขณะที่รายได้จากธุรกิจประกันเพิ่มขึ้นจากการซื้อกิจการของเมืองไทย ประกันชีวิต และการที่ธนาคารนำมาตรฐานบัญชีใหม่มาใช้เร็วกว่ากำหนดมีผลต่องบดุลเท่านั้น ไม่มีผลต่อผลประกอบการ
ทั้งนี้ คาดว่าธนาคารจะมีการจ่ายปันผลจากผลประกอบการปี 53 จำนวน 3.25 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 2.60% แต่ KBANK นั้นมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 0.50 บาท/หุ้น เหลือเงินปันผลครึ่งปีหลังอีก 2.75 บาท/หุ้น
ส่วน ปี 54 KBANK ตั้งเป้าการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น 7—9% ซึ่งในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นจะทำให้รายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลเพิ่มสูงขึ้น เมื่อรวมกับรายได้ค่าธรรมเนียมที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการประกัน และรายได้ค่าธรรมเนียมที่มาจากโครงการ K-Transformation ทำให้คาดว่าธนาคารจะยังคงมีกำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่อง โดยคาดว่ามีกำไรสุทธิ 24,198 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.7% และคาดว่าจะมีการจ่ายปันผล 4.10 บาท/หุ้น คิดเป็น Div. yield 3.28%
ขณะที่บทวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก คงคำแนะนำ“ซื้อ"โดยมีมุมมองเชิงบวกต่อปัจจัยพื้นฐานของ KBANK จากการเติบโตต่อเนื่องของสินเชื่อ คุณภาพสินทรัพย์ที่อยู่ในระดับดี และการเป็นธนาคารขนาดใหญ่ซึ่งมีสัดส่วนสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อ SME ในสัดส่วนสูงที่จะทำให้ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่ฐานเงินทุนยังแข็งแกร่ง โดยมีสัดส่วนเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยงเท่ากับ 14% และราคาปิดล่าสุดยังต่ำกว่าราคาเหมาะสมสำหรับปี 54 ที่ 163 บาท ซึ่งอิง Prospect P/BV ที่ระดับ 2.4 เท่า