นอกจากนี้ บริษัทยังมีการบริหารความเสี่ยงการลงทุนโดยหันมาลงทุนโครงการแนวราบมากขึ้น หลังจากหลายฝ่ายมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาฟองสบู่ในตลาดคอนโดมิเนียม ประกอบกับ บริษัทยังมีจุดเด่นจากมาร์จิ้นที่สูงถึง 39-40% สามารถรองรับแรงกดดันจากราคาวัสดุก่อสร้างที่จะปรับเพิ่มขึ้นได้
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.เกียรตินาคิน ซื้อ 12.50 บล.กิมเอ็ง ซื้อ 14.80 บล.กสิกรไทย ซื้อ 16.50 บล.ยูไนเต็ด ซื้อ 11.50 บล.เอเซีย พลัส ซื้อ 19.11 บล.ธนชาต ซื้อ 18.00 บล.โกลเบล็ก ซื้อ 16.00
นางสาววิชชุดา ปลั่งมณี รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า SPALI มีความน่าสนใจในการลงทุน เนื่องจากมี backlog ที่รอรับรู้รายได้ต่อเนื่องถึง 19,064 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้ฯในปี 54 จำนวน 8,142 ล้านบาท และมีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 14 โครงการ มูลค่ารวม 17,240 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ 48% คอนโดมิเนียม 52% และยังเตรียมซื้อที่ดินในปี 55 เพื่อพัฒนาโครงการอีก 10 โครงการ และบริษัทได้ตั้งเป้ามียอดขาย 14,548 ล้านบาท ใกล้เคียงปี 53
ทั้งนี้ ประเมินว่ากำไรสุทธิปี 54 ของ SPALI คาดว่าอยู่ที่ 2,703 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 53 ที่มีกำไร 2,627 ล้านบาท ส่วนหนึ่งมาจากอัตรากำไรขั้นต้นจะปรับลดลง แม้ว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทหันมาพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น โดยมีมาร์จิ้นอยู่ที่ 38-39% ขณะที่คอนโดมิเนียมจะมีมาร์จิ้น 40% แต่โดยรวมแล้วมาร์จิ้นยังสูงกว่ามาร์จิ้นของตลาดที่อยู่ 32-35% ประกอบกับ บริษัทอาจจะมีค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารมากขึ้น เพื่อกระตุ้นยอดขายหลังจากมาตรการภาษีภาครัฐหมดลง
“ปีที่แล้วเป็นปีที่สดใสทั้งตลาด เพราะมีมาตรการภาษีอสังหาริมทรัพย์ทำให้ในภาคอสังหาริมทรัพย์มียอดขายและกำไรที่ดี แต่ปีนี้ที่ไม่มีมาตรการภาษี ทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น"นางสาววิชชุดา กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในปี 54 คาดว่าราคาวัสดุก่อสร้างและต้นทุนอื่นๆ จะเพิ่มขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทย แต่เนื่องจากบริษัทมีระดับมาร์จิ้นสูงเฉลี่ยเกือบ 40% ทำให้สามารถต้านแรงกดดันจากเรื่องดังกล่าวได้ ประกอบกับการที่บริษัทหันมาพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้นในปีนี้ อาจเป็นการเพิ่มความระมัดระวังเกี่ยวกับปัญหาฟองสบู่ในคอนโดมิเนียม ซึ่งน่าจะเป็นผลดี
น.ส.เติมพร ตันติวิวัฒน์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)ระบุว่า ผลประกอบการของ SPALI ในไตรมาส 4/53 โดดเด่นเป็นประวัติการณ์ผลจากการรับรู้รายได้จาก Backlog คอนโดมิเนียมหลายโครงการ แต่การรับรู้รายได้บางส่วนมีความล่าช้ากว่าแผน และคาดหวังการจ่ายเงินปันผลของงวดครึ่งหลังปี 53 ที่ 0.32 บาท/หุ้น หรือคิดเป็นผลตอบแทน 3.3%
ส่วนปี 54 บริษัทตั้งเป้ายอด Presale เติบโต 17% จากการเปิดโครงการใหม่ 17,240 ล้านบาท ซึ่ง 51% เป็นมูลค่าของโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 4 แห่ง ขณะที่ปี 53 บริษัทมียอด Presale 14,548 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากคอนโดมิเนียม อย่างไรก็ตาม ยอด Presale ปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ ความสำเร็จต้องรอดูช่วงไตรมาส 4/54 ที่จะเปิดโครงการคอนโดมิเนียม นราธิวาส—พระราม 3 มูลค่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่มีมูลค่าสูงที่สุดของปีนี้
ทั้งนี้ สิ้นปี 53 บริษัทมี Backlog ในมือ 19,064 ล้านบาท โดยประมาณ 8,142 ล้านบาทหรือคิดเป็น 42.7% จะรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ จึงคาดว่าปีนี้บริษัทจะมีรายได้ 13,361 ล้านบาท เติบโต 19.4% และคาดกำไรสุทธิ 3,034 ล้านบาท เติบโต17.8%
อย่างไรก็ตาม ทาง บล.กิมเอ็ง ประเมินว่า ปี 54 ระดับยอดขายของโครงการคอนโดมิเนียมโดยรวมของอุตสาหกรรมจะอ่อนตัวลง เนื่องจากระดับอุปทานจำนวนมากในตลาด ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้นและไม่รีบตัดสินใจอย่างเช่นในอดีต และการเปิดโครงการใหม่เริ่มมีข้อจำกัดในเชิงสถานที่ตั้ง การตั้งราคาขาย และการแข่งขัน ดังนั้น SPALI อาจจะได้รับผลกระทบด้วยเช่นกันโดยเฉพาะโครงการใหม่ที่ตั้งอยู่บริเวณที่มีอุปทานอยู่ค่อนข้างมากและต้องแข่งขันกับผู้ประกอบการรายใหญ่ด้วยกัน
ด้าน บล.ยูไนเต็ด ออกบทวิเคราะห์ คาดว่า SPALI ไตรมาส 4/53 บริษัทมีกำไร 1,090 ล้านบาท เติบโต 65% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่การรับรู้รายได้จากการโอนโครงการคอนโดปาร์ค เกษตรเข้าน้อยกว่าคาด จึงปรับลดคาดการณ์กำไรปี 53 ลงมาที่ 2,520 ล้านบาท
ส่วนปี 54 บริษัทเตรียมเปิด 14 โครงการ มูลค่ารวม 17,000 ล้านบาท และการเจาะตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น ขณะที่คาดว่ารายได้ปี 54 อยู่ที่ 13,000 ล้านบาท จาก Backlog ที่รอรับรู้รายได้ในปีนี้ถึง 60% แต่บริษัทต้องกลับมาเสียค่าธรรมเนียมการโอนและภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตราปกติเต็มปี ทำให้คาดว่ากำไรปีนี้อยู่ที่ 2,840 ล้านบาท เติบโต 12.5%
บล.ยูไนเต็ด ปรับลดราคาปัจจัยพื้นฐานของ SPALI ในปี 54 ลงมาที่ 11.50 บาท และแนะ“ซื้อ"โดยคาดจ่ายปันผลจากผลประกอบการครึ่งหลังปี 53 ที่ 0.33 บาท/หุ้น