โบรกเกอร์ส่วนใหญ่หนุน"ซื้อ"บมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และโรงกลั่น(PTTAR)จากผลประกอบการไตรมาส 4/53 เติบโตก้าวกระโดด คาดมีกำไรมากกว่า 3,000 ล้านบาทจากค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้น และปี 54 การทำกำไรยังเติบโตต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท ได้ประโยชน์จากสเปรดธุรกิจอโรเมติกที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง และการปรับเปลี่ยนระบบการชดเชยราคาก๊าซ LPG ที่ทำให้กำไรเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ย 1,000 ล้านบาท/ปี
แม้ในไตรมาส 1/54 บริษัทจะมีแผนหยุดการผลิตโรงกลั่นเป็นเวลา 39 วัน ซึ่งอาจส่งผลต่อรายได้บ้าง แต่คงมีผลกระทบไม่มากนัก ขณะที่แผนการควบรวมกิจการกับ บมจ.ปตท.เคมิคอล (PTTCH) คาดว่าจะส่งผลดีต่อบริษัทในระยะยาวที่ทำให้กลุ่มธุรกิจเครือปตท.มีความแข็งแกร่ง แม้ระยะสั้น อาจจะมีแรงเก็งกำไรในเชิงบวก
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.ยูไนเต็ด ซื้อเก็งกำไร 44.00 บล.โกลเบล็ก ซื้อ 47.00 บล.เอเซียพลัส ซื้อ 46.99 บล.กิมเอ็ง ซื้อเก็งกำไร 42.00 บล.บัวหลวง ซื้อ 48.00 บล.กรุงศรีอยุธยา ซื้อ 47.50
น.ส.มุกดา ห่มม่วง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูไนเต็ด กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 4/53 ของ PTTAR น่าจะพุ่งขึ้นเป็น 3,263 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นกำไรที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจอะโรเมติกส์เป็นหลัก ตามค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้น และยังได้รับรู้ส่วนแบ่งกำไรของบริษัทในเครือ Phenol อีกประมาณ 300 ล้านบาท และได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนระบบชดเชยราคาก๊าซ LPG จากเดิมให้ผู้นำเข้า มาให้โรงกลั่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำไรของก่อนหักภาษีของบริษัทได้เพิ่มขึ้น
ขณะที่ปี 54 คาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิประมาณ 10,196 ล้านบาท หรือกำไรต่อหุ้น 3.44 บาท เติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน แม้บริษัทจะมีกำหนดหยุดเดินเครื่องโรงกลั่นน้ำมันในไตรมาส 1/54 เป็นเวลา 39 วัน ซึ่งอาจทำให้รายได้ในส่วนนี้ลดลง แต่บริษัทยังมีรายได้เชยเชยจากกำไรที่เพิ่มขึ้นจากการขาย LPG ตามโครงสร้างใหม่ และสเปรดในธุรกิจปิโตรเคมี คดาว่าจะสูงกว่าปีก่อน
ส่วนการควบรวมกิจการของ PTTAR และ PTTCH ในระยะยาวน่าจะเป็นผลดีต่อธุรกิจ และเพิ่มควมแข็งแกร่งให้กลุ่ม PTT แต่ในมุมุมของนักวิเคราะห์อาจมองในแง่ผู้ถือหุ้นว่าจะได้ประโยชน์อย่างไรจากการการควบรวมครั้งนี้
“การควบรวมทาง PTT ต้องชี้ให้เห็นภาพชัดเจนว่าผู้ถือหุ้นจะได้ประโยชน์อะไร ซึ่งในระยะยาวอาจมองเป็นผลดี แต่ระยะสั้นอาจมีประเด็นในแง่การเก็งกำไรในเชิงบวกได้" น.ส.มุกดา กล่าว
นายชาญวุทธ เตชอมรธนกิจ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา มองกำไรสุทธิ PTTAR เติบโตก้าวกระโดดในไตรมาส 4/53 ถึง 97.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นจำนวน 2,957 ล้านบาท ผลจากเป็นผลจากการขยายตัวของค่าการกลั่นตามฤดูกาลและความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปที่มากขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และยังได้แรงหนุนจากราคาพาราไซลีนและเบนซีนที่ทยอยฟื้นตัวต่อเนื่องตั้งแต่เดือน ก.ย. 53
ขณะที่ปี 54 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 11,692 ล้านบาท สะท้อนจากการปรับราคาขาย LPG หน้าโรงกลั่นที่ทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้น 1,000 ล้านบาท/ปี และส่วนต่างราคาพาราไซลีนกับคอนเดนเสท ยังสูงขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ ก.ย.53 จนถึงไตรมาส 1/54 แม้ส่วนต่างราคามีแนวโน้มอ่อนตัวลงในไตรมาส 2/54 ตามอุปทาน แต่คาดว่าส่วนต่างราคาจะกลับมาดีอีกครั้งช่วงไตรมาส 3-4/54
ส่วนการควบรวมกิจการกับ PTTCH คาดว่าจะมีผลประโยชน์รวม โดยรูปแบบการควบรวมน่าจะมีความชัดเจนในไตรมาส 1/54 และใช้เวลาดำเนินการหลังจากนั้น 6 เดือน
บล.โกลเบล็ก ออกวิเคราะห์ โดยคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 4/53 ออกมาสูงที่สุดของปีที่ประมาณ 3,570 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 138% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากค่าการกลั่นและส่วนต่างปิโตรฯปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งยังมี Stock gain และมีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่เพิ่มขึ้น ส่วนทั้งปี 53 คาดมีกำไรสุทธิประมาณ 6,105 ล้านบาท ลดลง 33% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
และไตรมาส 1/54 คาดธุรกิจปิโตรฯยังขยายตัวตามส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น ส่วนธุรกิจโรงกลั่นคาดว่าจะชะลอตัวลงเนื่องจากจะมีการหยุดซ่อมบำรุงของโรงกลั่นเป็นเวลา 39 วัน ส่วนทั้งปีเพื่อสะท้อนกำไรที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากการอุดหนุน LPG ของภาครัฐซึ่งคาดว่าจะทำให้ PTTAR มีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นประมาณ1,000 ล้านบาท/ปี ดังนั้นคาดการณ์กำไรสุทธิในปี 54 อยู่ที่ 9,637 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน