นายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเสนอขายกองทุนหุ้นอินเดีย มูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท หลังจากก่อนหน้านี้ บริษัทเสนอขายกองทุนตราสารหนี้อินเดีย มูลค่า 1.1 หมื่นล้านบาท มีการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี
กองทุนหุ้นอินเดีย เป็นกองทุนรวมหน่วยลงทุน (Feeder Fund) ผ่านกองทุนหลักที่บริหารจัดการโดย บลจ.ชั้นนำของอินเดีย โดยมีแผนจะเสนอขายปลายไตรมาส 1/54 เพื่อเพิ่มทางเลือกในการลงทุนให้แก่ผู้ลงทุนที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนสูงจากการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตสูงจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
นายพัชร กล่าวว่า ประเทศอินเดียยังไม่มีตราสารหนี้ใหม่ๆ ออกมาให้ลงทุนในช่วงนี้ เนื่องจากรัฐบาลอินเดียยังคุมเข้มเรื่องเงินลงทุนไหลเข้าจากต่างประเทศอยู่พอสมควร ส่วนตลาดหุ้นอินเดีย มีระดับ P/E คาดการณ์สำหรับปี 55 อยู่ที่ 14 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำพอสมควรเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาวซึ่งอยู่ที่ 19 เท่า
และจากการติดตามสถานการณ์การลงทุนในอินเดียอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ปีที่ผ่านมา พบว่ายังมีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างแข็งแกร่ง โดยมีปัจจัยบวกจากการบริโภคภายในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น การทุ่มเงินลงทุนมหาศาลของภาครัฐเพื่อพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐาน ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนก็มีแนวโน้มที่ดี คาดว่าในปีนี้กำไรต่อหุ้นอาจเติบโตถึง 20% ซึ่งถือว่ายังมีความน่าสนใจในฐานะทางเลือกในการลงทุนในต่างประเทศสำหรับปีนี้
อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้อาจยังไม่ใช่เวลาที่ดีในการเข้าลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย เนื่องจากต่างชาติยังคงทยอยขายทำกำไรอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ต้นปี 54 ตลาดหุ้นอินเดียติดลบไปแล้วถึง 11.20% (ข้อมูล ณ 18 ก.พ. 54) ซึ่งแม้ว่าผู้ลงทุนจะสามารถเข้าลงทุนได้ในราคาต้นทุนที่ค่อนข้างต่ำ แต่ต้องเผชิญความผันผวนและมีโอกาสขาดทุนจากแรงเทขายของต่างชาติ
แต่มองว่าปลายเดือน มี.ค.-เม.ย.54 ต่างชาติน่าจะหยุดการเทขายทำกำไร จึงน่าจะเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการเข้าไปลงทุน เนื่องจากเป็นช่วงที่คาดว่าตลาดหุ้นอินเดียน่าจะปรับตัวลงต่ำสุดและน่าพิจารณาเข้าลงทุน
นอกจากนี้การที่แรงกดดันเงินเฟ้อเริ่มส่งสัญญาณคลี่คลายจะเป็นปัจจัยบวกให้ธนาคารกลางอินเดียเริ่มชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกด้วย โดยคาดว่าในปีนี้ธนาคารกลางของอินเดียจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีกเพียงครั้งเดียวที่อัตรา 0.25% เท่านั้น จาก 5.50% ไปเป็น 5.75% ในการประชุมเดือน มี.ค.54 หลังจากได้ปรับขึ้นมาโดยตลอดถึง 3.25% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
“การชะลอการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจะช่วยทำให้ต้นทุนการกู้ยืมไม่ปรับตัวสูงขึ้นไปอย่างต่อเนื่องอย่างที่เป็นมาตลอดทั้งปีที่ผ่านมา จึงย่อมส่งผลดีต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และตลาดหุ้นอินเดียเองก็น่าจะปรับตัวขึ้นจากอานิสงส์ของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ดีขึ้นด้วย" นายพัชร กล่าวในที่สุด