นายสุเมธ ดำรงชัยธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.น้ำมันพืชไทย(TVO)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทเสนอ 3 ทางเลือกให้กับรัฐบาลพิจารณาคำขอขึ้นราคาขายน้ำมันถั่วเหลืองอีก 19 บาท/ขวด อาจใช้แนวทางอุดหนุนส่วนหนึ่งเพื่อบรรเทาผลกระทบต้นทุนพุ่ง ซึ่งจะช่วยให้อัตราการปรับขึ้นราคาไม่สูงมาก เพราะกังวลหากปรับราคาตามที่ร้องขออาจกระทบกับยอดขาย ดังนั้น จึงขอให้รัฐบาลพิจารณาราคาที่เหมาะสมกับผู้ผลิตและผู้บริโภค
นายสุเมธ กล่าวว่า บริษัทเสนอขอขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันถั่วเหลือง ในนามของสมาคมน้ำมันถั่วเหลืองไปยังกรมการค้าภายในและกระทรวงพาณิชย์ เพื่อขอปรับขึ้นราคาอีก 19 บาท/ขวด จากปัจจุบันราคาขายอยู่ที่ 46 บาท/ขวด โดยเสนอ 3 ทางเลือก คือ ให้รัฐบาลอุดหนุนราคาให้เช่นเดียวกับน้ำมันปาล์ม, ปรับขึ้นราคาตามคำขอ และ ทั้งรัฐอุดหนุนและปรับราคาขึ้นบางส่วน
การเสนอขอปรับขึ้นราคา มีสาเหตุมาจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยตั้งแต่กลางปี 53-ก.พ.54 ราคาถั่วเหลืองที่เป็นวัตถุดิบสำคัญปรับขึ้นไปแล้วถึง 44% แต่น้ำมันถั่วเหลืองยังคงตรึงราคาเดิมอยู่ ประกอบกับ ขณะนี้เกิดสถานการณ์ที่ไม่ปกติ จากกรณีภัยพิบัติในประเทศญีปุ่น ก็อาจส่งผลต่อความต้องการถั่วเหลืองที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อราคาถั่วเหลืองอีก
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าหากน้ำมันถั่วเหลืองปรับขึ้นไปถึง 19 บาท/ขวด ก็จะทำให้ราคาน้ำมันถั่วเหลืองเพิ่มเป็น 65 บาท ซึ่งจะกระทบต่อยอดขายแน่นอน เพราะผู้บริโภคคงเลือกที่จะใช้น้ำมันปาล์มแทน เนื่องจากราคาที่ถูกกว่าจากผลของการชดเชยราคาของรัฐบาล ดังนั้น อยากให้รัฐบาลมีการพิจารณาการขึ้นราคาในจุดที่เหมาะสมกับต้นทุนที่สูงขึ้นและเป็นราคาที่บริโภคยอมรับได้
"น้ำมันปาล์มที่ได้ปรับขึ้นมาบ้าง ส่วนหนึ่งมีการอุดหนุนจากรัฐบาล แต่หากราคาน้ำมันถั่วเหลืองปรับขึ้น 19 บาท ก็คงไม่มีคนซื้อ เพราะสินค้า 2 อย่างทดแทนกันได้ ดังนั้น โครงสร้างราคาใหม่ที่พิจารณาควรปรับราคาให้อยู่ในเหตุและผลของการแข่งขันได้ด้วย...เชื่อว่ากระทรวงพาณิชย์คงปรับขึ้นราคาให้ไม่ได้ตามที่ร้องขอ แต่ขอให้เป็นจุดที่เหมาะสมที่ให้เราอยู่ได้ และผู้ซื้ออยู่ได้ เพราะคิดว่ารัฐบาลคงไม่อุดหนุนราคาให้ แต่เราก็เสนอแนวทางที่เป็นไปได้" นายสุเมธ กล่าว
*คาดปี 54 รายได้ดีกว่าปี 53 ตามกำลังผลิตเพิ่ม-เชื่อได้ปรับขึ้นราคา
นายสุเมธ กล่าวว่า ในปี 54 เชื่อว่ารายได้ของบริษัทจะดีขึ้นกว่าปี 53 เนื่องจากบริษัทมีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ประกอบกับ คาดว่าจะได้มีการปรับขึ้นราคาน้ำมันถั่วเหลืองบ้าง นอกจากนี้ บริษัทได้ขายโรงงานในประเทศจีนไปแล้ว เพราะแม้จะสร้างรายได้ แต่มีการบริหารจัดการยาก เนื่องจากจีนมีการปรับเปลี่ยนนโยบาย และยังมีคู่แข่งทางการค้าจำนวนมาก
สำหรับกากถั่วเหลือง บริษัทคงยังไม่มีการปรับขึ้นราคา เนื่องจากขณะนี้ยังมีปริมาณล้นตลาด ขณะที่ความต้องการในตลาดยังชะลอลง
นายวิบูลย์ โลหะชุนสิริ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนา TVO กล่าวว่า จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิในประเทศญี่ปุ่น ในระยะสั้นได้ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมีราคาที่อ่อนตัวลง เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมในประเทศญี่ปุ่นต้องหยุดการผลิต เพราะปัญหาการขาดแคลนกระแสไฟฟ้าอันเนื่องจากมาจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มีปัญหา โดยญี่ปุ่นเป็นประเทศที่พึ่งพาไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถึง 34% ดังนั้น เมื่อเกิดปัญหาขึ้นกับโรงไฟฟ้าหยุดเดินเครื่องและส่งผลทำให้อุตสาหกรรมที่ใช้ไฟฟ้าต้องหยุดการผลิตตามไปด้วย
"หลังเกิดเหตุการณ์ในญี่ปุ่นทำให้การนำเข้าวัตถุดิบต่างๆ หยุดหมด เช่น ข้าวโพด ที่มีการนำเข้าถึง 16% ของการซื้อขายโลก ทำให้ demand shock ราคาจึงอ่อนตัวลง ประกอบกับรัฐบาลญี่ปุ่นต้องอัดฉีดเม็ดเงินบรรเทาความเสียหาย ต้องเอาเงินมาจากไหน ก็ต้องมาจากการขายหุ้น และ risk asset ทำให้ราคา commodities อ่อนลงในระยะสั้นๆ" นายวิบูลย์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม มองว่า ระยะกลาง-ยาว ราคา commodities รวมถึงอาหารสำเร็จรูปจะมีราคาดี หลังจากญี่ปุ่นใช้เวลาในการฟื้นฟูประเทศ และยังกังวลเรื่องกัมมันภาพรังสีอยู่ จึงอาจต้องมีการนำเข้าสินค้าสำเร็จรูป ดังนั้น จึงจะเป็นผลดีต่อประเทศผู้ผลิตอาหาร รวมถึงไทยด้วย
นายวิบูลย์ กล่าวว่า TVO ไม่มีการส่งออกสินค้าหรือนำเข้าวัตถุดิบจากญี่ปุ่น จึงไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่คาดว่าจะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการที่ราคา commodities อ่อนตัวลงช่วงนี้ ซึ่งรวมถึงราคาถั่วเหลืองในตลาดชิคาโกปรับลดลง เนื่องจากกองทุนเก็งกำไรชะลอการซื้อ บริษัทจึงรอจังหวะเข้าซื้อถั่วเหลืองในช่วงราคาอ่อนลง แต่ก็คาดว่าราคาคงอ่อนลงไม่มาก เนื่องจากถั่วเหลืองยังเป็นวัตถุดิบผลิตอาหารและปัจจัยพื้นฐานยังดีอยุ่
ขณะที่ในช่วงเดือน มี.ค.54 บริษัทอาจได้รับผลกระทบจากต้นทุนถั่วเหลือที่ปรับสูงขึ้น เนื่องจาก stock เดิมได้หมดลงแล้ว ดังนั้น ส่วนหนึ่งคงต้องรอรัฐบาลอนุมัติการปรับขึ้นราคาขายน้ำมันถั่วเหลืองเพื่อไม่กระทบต่ออัตรากำไรของบริษัท
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในช่วง 2 เดือนแรกปี 54(ม.ค.-ก.พ.)คาดว่ามีรายได้อยู่ระดับใกล้เคียงช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนหนึ่งเนื่องจากบริษัทได้มีการปรับขึ้นราคากากถั่วเหลือตามราคาในตลาดโลก แต่ได้มีการปรับลดลงตามตลาดแล้วเช่นกัน