บมจ.ทีทีแอนด์ที (TT&T) เปิดเผยว่า ตามที่บมจ.ทีโอที ได้มีหนังสือแจ้งให้บริษัท ชำระคืนเงินที่ทีโอทีได้นำส่งให้บริษัทฯ เพื่อนำไปชำระเป็นค่าภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อกระทรวงมหาดไทยแทนทีโอที ตั้งแต่เดือนมกราคม 2546 ถึงเดือนธันวาคม 2549 เป็นจำนวน 700,266,287.53 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 และภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย ให้แก่ทีโอที นั้น
บริษัทฯ แจ้งว่า ตามสัญญาร่วมการงานฯ ระหว่าง บริษัทฯ กับ ทีโอที ไม่ได้ระบุว่า บริษัทฯ ต้องมีภาระผูกพันเกี่ยวกับภาษีสรรพสามิต หรือค่าธรรมเนียมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้นรายได้จากการร่วมการงานและร่วมลงทุนระหว่าง บริษัทฯ กับ ทีโอที มิได้อยู่ในข่ายต้องนำส่งภาษีสรรพสามิต
ต่อมาในเดือนมกราคม 2546 รัฐบาลมีนโยบายให้เรียกเก็บภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคมในอัตราร้อยละ 2.2 ซึ่งทีโอทีต้องเป็นผู้รับภาระจ่ายภาษีดังกล่าว เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีระบุว่าภาระค่าใช้จ่ายภาษีสรรพสามิตเป็นภาระหน้าที่ของทีโอที และในทางปฏิบัติทีโอทีก็นำเงินมอบให้ บริษัทฯ ไปชำระค่าภาษีดังกล่าว เงินจำนวนดังกล่าวจึงเป็นเงินที่ทีโอทีนำส่งเข้าบัญชีให้แก่บริษัทฯ และมอบหมายให้บริษัทฯนำไปชำระเป็นค่าภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อกระทรวงมหาดไทยแทนทีโอทีและกรมสรรพสามิตได้ออกใบเสร็จรับเงินเป็นเลขที่กำกับภาษีของทีโอทีสำหรับการใช้บริการโทรศัพท์พื้นฐานนั้น เป็นการกระทำของทีโอทีเองที่ปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาลในขณะนั้น ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2546 และ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2546 โดยบริษัทฯ มิได้เป็นผู้ร้องขอ อีกทั้งการกระทำดังกล่าวก็มิได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทีโอทีแต่อย่างใด อันจะถือว่าบริษัทฯเป็นผู้ผิดสัญญาสัมปทาน เพราะกระทรวงการคลังซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของทีโอที ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้คำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขแดงที่ อม.1/2553 ที่ทีโอทีอ้างถึง เพื่อใช้เป็นเหตุผลในการเรียกให้บริษัทฯ ชำระเงินดังกล่าวคืนนั้น บริษัทฯ เห็นว่าทั้งบริษัทฯ และทีโอทีต่างไม่ได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าว ดังนั้น ผลคำวินิจฉัยของศาลจึงไม่มีผลผูกพันบริษัทฯ แต่อย่างใด