นักวิเคราะห์เห็นพ้อง"ซื้อ"บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล(MINT) มองผลการดำเนินงานปีนี้มีการเติบโตโดดเด่นทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะมีรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จากโครงการคอนโดฯ St.Regis ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของรายได้ แต่รายได้หลักยังมาจากธุรกิจอาหารที่ยังเติบโตต่อเนื่องตามภาพรวมเศรษฐกิจและการขยายสาขาเพิ่มเติม
ส่วนกรณีภัยพิบัติของประเทศญี่ปุ่นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อลูกค้าที่เข้าพักโรงแรมมากนัก เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่มาจากประเทศอื่นในเอเซีย ส่วนปัญหาน้ำท่วมภาคใต้ มีโรงแรมที่ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย ประกอบกับ บริษัทมีโรงแรมในต่างประเทศด้วย ซึ่งช่วยชดเชยผลกระทบที่เกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม ให้ติดตามสถานการณ์ช่วงการเลือกตั้ง ซึ่งหากเกิดปัญหาทางการเมืองเหมือนปีก่อน อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทได้
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.ไอร่า ทยอยสะสม 15.70 บล.กสิกรไทย ซื้อ 13.20 บล.ทรีนิตี้ ซื้อ 15.80 บล.ดีบีเอสฯ ซื้อ 16.20 บล.เอเซียพลัส ซื้อ 15.75 บล.กิมเอ็ง ซื้อ 15.20
นายเอกภาวิน สุนทราภิชาติ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไอร่า กล่าวว่า ในปี 54 มอง MINT มีกำไรเติบโตที่โดดเด่น โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ 2,200 ล้านบาท หรือเติบโต 81% จากปีก่อน และมีรายได้รวม 24,000 ล้านบาท เติบโต 26% ส่วนหนึ่งมาจากที่ฐานปีก่อนที่อยู่ระดับต่ำ ประกอบกับ บริษัทมีการรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจากการการเปิดตัวโครงการ St.Regis นอกเหนือรายได้ธุรกิจโรงแรมและอาหาร
ขณะที่มองว่าปัญหาภัยพิบัติในประเทศญี่ปุ่น มีผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรมไม่มากนัก เนื่องจากจำนวนลูกค้าญี่ปุ่นมีไม่มาก หากเทียบกับลูกค้าชาวเอเซียจากประเทศอื่น ส่วนปัญหาน้ำท่วมภาคใต้มีผลกระทบในวงจำกัดโดยมีเพียงโรงแรม 4 แห่งที่ถูกผลกระทบเท่านั้น ประกอบกับ บริษัทมีการกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยชดเชยผลกระทบที่เกิดขึ้นได้
“ปีนี้สัดส่วนรายได้ของ MINT จะเปลี่ยนแปลงไป เพราะมีรายได้จากธุรกิจพร็อพเพอร์ตี้เข้ามา ทำให้มีรายได้จากโครงการ St.Regis แต่รายได้หลักของบริษัทยังมาจากธุรกิจอาหาร"นายเอกภาวิน กล่าว
ส่วนการเข้าซื้อกิจการ Oaks Hotels & Resorts Limited ในออสเตรเลีย หากประสบความสำเร็จ มองในระยะยาวจะช่วยสนับสนุนธุรกิจโรงแรมของบริษัท โดยเฉพาะตลาดในออสเตรเลีย ขณะที่ในระยะสั้นยังไม่มีนัยสำคัญมากนัก เนื่องจาก MINT ยังต้องใช้เวลาปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารงาน รวมถึงด้านสภาพคล่องทางการเงินของ Oaks ก่อน
ด้านความเสี่ยงทางธุรกิจในปีนี้ยังมองเป็นเรื่องการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับปีก่อน อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรมโฟร์ซีซันส์ และโรงแรมแมริออท ซึ่งเป็นรายได้หลักของบริษัท และอาจทำให้ยอดขายโครงการ St.Regis ไม่เป็นไปตามแผนด้วย ช่วงการเลือกตั้งใหม่คงต้องติดตามสถานการณ์ในเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม จากการที่บริษัทไม่มีความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจโดยปกติ และปีนี้มีรายได้ที่โดดเด่น บล.ไอร่า อยู่ระหว่างการทบทวนคำแนะนำในเร็วๆนี้
บล.ดีบีเอสฯ ออกบทวิเคราะห์ คาดว่า MINT จะประกาศกำไรสุทธิ 1Q54 ได้อย่างแข็งแกร่งเป็น 709 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 63% จากไตรมาสก่อน แม้ว่าธุรกิจโรงแรม ยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว จากอัตราการเข้าพัก อยู่ที่ 59% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 61% ขณะที่อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยลดลง 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และรายได้ต่อห้องลดลง 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นเพราะการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น และยังมีแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากการกระตุ้นการท่องเที่ยวจากประเทศอื่นๆในภูมิภาคแถบนี้
แต่สำหรับธุรกิจหลักอื่นๆของบริษัทมีความสดใสมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม จาก จำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น และมีการบันทึกรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมคือ St. Regis ที่คาดไว้ว่าจะบันทึกรายได้เข้ามา 296 ล้านบาท
ทั้งนี้ คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2/54 จะเติบโตสูงได้อีก เพราะมีการบันทึกรายได้จาก St. Regis ที่ขายได้เข้ามามาก ซึ่งเป็นผลพวงจากการเสร็จสมบูรณ์ทั้งในส่วนของคอนโดมิเนียมและโรงแรม ได้มีการเปิดโรงแรมอย่างเป็นทางการแล้วในวันที่ 1 เม.ย.54 ที่ผ่านมา
คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐานกำหนดไว้ที่ 16.20 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี DCF เห็นว่าราคาหุ้นยังถูก P/E ปี 54 เป็น 17.8 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต 7 ปีย้อนหลัง ส่วน PEG ก็ต่ำเป็นเพียง 0.2 เท่า เมื่อเทียบกับรูปแบบธุรกิจที่ดี รวมทั้งแนวโน้มอัตราเติบโตกำไรสุทธิที่สูงเยี่ยม
ขณะที่ บทวิเคราะห์ บล.เอเซียพสัส มองว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/54 คาดว่า MINT มีกำไรสุทธิ 682 ล้านบาท เติบโต 13.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 57.3% จากไตรมาสก่อนจากธุรกิจโรงแรมที่ฟื้นตัวตามการท่องเที่ยว อีกทั้งได้รับอานิสงค์จากความต่อเนื่องของช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว และการเปิดบริการโรงแรมใหม่เพิ่ม 1 แห่งที่มัลดีฟท์ ผลักดันให้อัตราการเข้าพักเฉลี่ยของธุรกิจโรงแรมเพิ่มขึ้นเป็น 59% จาก 57% ในไตรมาส 4/53
ส่วนธุรกิจอาหาร ยังเติบโตต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจ หนุนให้การเติบโตของร้านอาหารเดิม และ เมื่อรวมกับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งคาดจะบันทึกรายได้จากการโอนคอนโด St.Regis อีกประมาณ 500 ล้านบาท คาดส่งผลให้รายได้จากการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/54 อยู่ที่ 5,830 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และการสร้างรายได้เพิ่มขึ้นของธุรกิจโรงแรม และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งให้มาร์จิ้นสูง น่าจะทำให้ EBITDA Margin เพิ่มขึ้นเป็น 21.6% จากไตรมาส 1/53 อยู่ที่ 20.7%
ส่วนแนวโน้มธุรกิจไตรมาส 2/54 จะชะลอตัวลงเพราะเข้าสู่ช่วง Low Season ของธุรกิจท่องเที่ยว แต่เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดจะเห็นกำไรเติบโตโดดเด่นอย่างมาก จากทั้งธุรกิจโรงแรม ซึ่งสามารถเปิดบริการเต็มที่ตามปกติ และเริ่มรับรู้รายได้บางส่วนจากการเปิดโรงแรมใหม่ St. Regis กรุงเทพ ด้านธุรกิจธุรกิจอาหาร คาดยังเติบโตต่อเนื่องตามการขยายสาขาร้านอาหารใหม่เพิ่ม และมีการบันทึกรายได้จากการโอนคอนโด St. Regis อีก 1,000 ล้านบาท ขณะที่ทั้งปี 54 คาดบริษัทมีกำไรสุทธิ 2,000 ล้านบาท เติบโตสูง 65.6%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน