TT&T ยืนยันขอแก้ไขเหตุอาจถูกเพิกถอน คาดเริ่มให้บริการบรอดแบนด์ในปีนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday May 23, 2011 14:50 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ทีทีแอนด์ที (TT&T) เปิดเผยว่า งบการเงินประจำปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2553 ที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีแสดงส่วนของผู้ถือหุ้นมีค่าน้อยกว่าศูนย์เป็นจำนวน 5,849 ล้านบาท ทำให้หลักทรัพย์ของบริษัทถูกประกาศเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)ตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2554 และถูกห้ามซื้อหรือขายเป็นเวลา 30 วัน จนถึงวันที่ 23 พฤษภาคม 2554

ขณะนี้บริษัทอยู่ในระหว่างดำเนินการฟื้นฟูกิจการภายใต้พระราชบัญญัติล้มละลายตามคำสั่งศาลล้มละลายกลางที่ได้ให้ความเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการของ TT&T เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2553 โดยแต่งตั้งให้บริษัท พี แพลนเนอร์ จำกัดเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัทจึงเป็นเหตุให้ไม่อาจเลือกแนวทางการจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการฉบับใหม่เสนอต่อผู้ถือหุ้น ซึ่งก็ต้องได้รับความเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงข้างมากจากที่ประชุมเจ้าหนี้ที่ได้มีมติให้ความเห็นชอบกับแผนฟื้นฟูกิจการไปแล้วเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2553

ประกอบกับสาระสำคัญในการจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการในธุรกิจโทรคมนาคมคงมีทิศทางไม่แตกต่างไปจากแนวโน้มในปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งหากบริษัทสมัครใจเลือกขอเพิกถอนจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น ผู้ลงทุน และเจ้าหนี้ที่ได้รับการแปลงหนี้เป็นทุนรวมทั้งผลต่อเศรษฐกิจตลาดทุนในภาพรวมแต่ประการใด

ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นต่อแนวทางดำเนินการแก้ไขเหตุแห่งการอาจถูกเพิกถอนจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน บริษัทจึงขอเรียนชี้แจงแผนฟื้นฟูกิจการเพื่อให้บริษัทได้แก้ไขเหตุแห่งการเพิกถอนจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนโดยพิจารณาจากคุณสมบัติตามเกณฑ์ของตลท.ที่ใช้ในการพิจารณาพ้นเหตุแห่งการเพิกถอนและย้ายหลักทรัพย์กลับสู่หมวดอุตสาหกรรมปกติ ดังนี้

1. การดำเนินการให้ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทมากกว่าศูนย์(ภายหลังการปรับปรุงความเห็นผู้สอบบัญชี) บริษัทโดยผู้บริหารแผนได้ดำเนินการปรับโครงสร้างทุนตามแผนฟื้นฟูกิจการ ได้ยื่นคำร้องขออนุญาตลดทุนจดทะเบียนต่อศาลล้มละลายกลางเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2554 ซึ่งได้รับอนุญาตให้ลดทุนจดทะเบียนเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2554 จาก 70,000 ล้านบาท เหลือ 33,242.74 ล้านบาท และลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (par) จากหุ้นละ 10 บาท เหลือหุ้นละ 1 บาท ทำให้คงเหลือทุนจดทะเบียน 3,324.27 ล้านบาท

ทั้งนี้ ได้ดำเนินการยื่นคำร้องขอลดทุนจดทะเบียนและลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 12 และ 20 พฤษภาคม 2554 ตามลำดับ

ต่อมาบริษัทโดยผู้บริหารแผนได้ยื่นคำร้องขออนุญาตเพิ่มทุนจดทะเบียนต่อศาลล้มละลายกลางเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2554 เพื่อรองรับการชำระหนี้โดยการแปลงหนี้เป็นทุนให้แก่เจ้าหนี้กลุ่มที่ 2 กลุ่มที่ 3 กลุ่มที่ 4 กลุ่มที่ 5 กลุ่มที่ 6 กลุ่มที่ 7 และกลุ่มที่ 8 ซึ่งได้รับอนุญาตให้เพิ่มทุนจดทะเบียนเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2554 อีก 6,139.53 ล้านบาท ในราคาหุ้นละ 1 บาท

ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถดำเนินการยื่นคำร้องขอเพิ่มทุนจดทะเบียนต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าภายในต้นเดือนมิถุนายน 2554 เพื่อดำเนินการแปลงหนี้ของเจ้าหนี้กลุ่มดังกล่าวเป็นทุนตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หรือศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ได้รับชำระหนี้แล้วจำนวน 3,847.30 ล้านบาท ภายในเดือนมิถุนายน 2554

ส่วนเงินเพิ่มทุนจดทะเบียนที่เหลือจำนวน 2,292.23 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถดำเนินการแปลงหนี้เป็นทุนได้ภายในเดือนมิถุนายน 2555 เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งหรือคำสั่งถึงที่สุดให้ได้รับชำระหนี้อีก 1,891.15 ล้านบาท

ผลจากการแปลงหนี้เป็นทุนจำนวนดังกล่าวข้างต้นจะทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 มีค่าน้อยกว่าศูนย์ 2,516.16 ล้านบาท และ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2555 มีค่าน้อยกว่าศูนย์ 625.00 ล้านบาท (งบการเงินรวม) เทียบกับ ณ สิ้นปี 2553 ที่มีค่าน้อยกว่าศูนย์ 5,849.07 ล้านบาท

ภายหลังการปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าวข้างต้นแล้วจะทำให้บริษัทมีภาระดอกเบี้ยลดลงในปี 2554 และปี 2555 นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถบันทึกบัญชีตั้งพักเพื่อลดภาระดอกเบี้ยระหว่างกาล (ภาระหนี้หลังจากที่บริษัทเข้ากระบวนการฟื้นฟูกิจการในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2551 ได้)ซึ่งจะส่งผลให้จำนวนขาดทุนสะสมของบริษัทมีจำนวนลดลง

ส่วนหลักเกณฑ์เรื่องผลประกอบการจากการดำเนินงานในธุรกิจ 3 ไตรมาสติดต่อกัน หรือ 1 ปีก่อนยื่นคำขอนั้น บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิในปี 2553 จำนวน 12,224.82 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิจากผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2554 จำนวน 514.39 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากไม่นับรวมการขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ หนี้สงสัยจะสูญและผลต่างจากการปรับปรุงหนี้สินตามคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หรือตามคำขอรับชำระหนี้ในแผนฟื้นฟูกิจกรจำนวน 7,863.55 ล้านนบาท 1,484.19 ล้านบาท และ 760.85 ล้านบาท ตามลำดับจะทำให้บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงานในปี 2553 ลดลงเหลือเพียง 2,116.23 ล้านบาท และ 394.73 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1/2554 เมื่อหักหนี้สงสัยจะสูญ 119.65 ล้านบาทออกแล้ว

2.แนวทางการดำเนินธุรกิจ การแสวงหาประโยชน์จากโครงข่ายที่ได้รับสิทธิตามสัญญาสัมปทาน ขณะนี้บริษัทได้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของการลงทุนในธุรกิจบรอดแบนด์ ภายในระยะเวลา 5 ปี โดยใช้เทคโนโลยี ADSL เพื่อพัฒนาโครงข่ายไปสู่ IP Based (Internet Protocol) ซึ่งบริษัทสามารถใช้โครงข่ายที่ได้รับสิทธิตามสัญญาสัมปทานเป็นโครงข่ายหลักได้ โดยจะลงทุนเพิ่มในอุปกรณ์เท่าที่จำเป็น

ทั้งนี้บริษัทได้รับใบอนุญาตการให้บริการอินเตอร์เน็ตแบบที่หนึ่ง จากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2554 ทำให้บริษัทมีความพร้อมให้บริการในทุกด้านคาดว่าจะสามารถเริ่มให้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงได้ภายในปลายปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีรายได้และกระแสเงินสดเพียงพอในการจัดสรรชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการ รวมทั้งสร้างผลกำไรอย่างต่อเนื่องอันจะทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น

และ จากการที่บริษัทได้สร้างและพัฒนาโครงข่ายสำหรับการให้บริการบรอดแบนด์จะส่งผลให้บริษัทมีศักยภาพการในการให้บริการประเภทใหม่ ๆ สอดคล้องกับความต้องการของตลาด เพื่อเป็นการสร้างโอกาสและสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจให้แก่บริษัท อาทิ Data Communication & Applications, Broadband Interconnections with neighboring countries, Platform for Technology trend (IP-Base Technology), Broadband customers will be attractive for content provider partnerships, VOIP, Web-based SMS, IDC services (Hosting, Co-location etc.), School solution service, IP Camera Security service, Event Broadcast Live Streaming, Video & Web Conference, Tutor online

การขยายธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจโทรคมนาคมในด้านอื่น บริษัทมีแผนรับจ้างบริหารดำเนินงานและซ่อมบำรุงโครงข่ายโทรคมนาคม รวมถึงอุปกรณ์และโครงข่าย ICT ของผู้ใช้บริการเพื่อเพิ่มพูนรายได้และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของบริษัทที่มีศักยภาพทั้งด้านทรัพย์สินและบุคลากร


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ