นายขจรพงศ์ คาดี กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ (EARTH) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 17 มิ.ย 54 มีมติอนุมัติให้บริษัทเข้าซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของ PT TRI TUNGGAL PITRIATI (TTP) จากผู้ถือหุ้นของ TTP จำนวนไม่เกิน 1,000 หุ้นมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ Rp.8,521,000 (เทียบเท่ากับ USD 1,000) คิดเป็นร้อยละ 100 ของหุ้นสามัญทั้งหมด ในราคาไม่เกิน 1,200 ล้านบาท กำหนดจากปริมาณสารองของถ่านหินที่มีอยู่ใน TTP จานวนไม่เกิน 8 ล้านตัน
บริษัทจะชำระราคาค่าซื้อหุ้นดังกล่าวให้แก่ผู้ถือหุ้นของ TTP โดยการออกหุ้นใหม่ของบริษัทจำนวนไม่เกิน 360,360,360 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เสนอขายแบบเฉพาะเจาะจงต่อบุคคลในวงจากัด (Private Placement) ในราคาเสนอขายหุ้นละ 3.33 บาท เพื่อตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นของ TTP ที่เสนอขายหุ้นสามัญของ TTP ให้แก่บริษัทแทนการชำระเป็นเงินสด
บริษัทจะเข้าทำรายการภายหลังจากที่ได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2554 ในวันที่ 11 สิงหาคม 2554 และคาดว่าการทำรายการจะแล้วเสร็จภายใน ปี 2554
ทั้งนี้ คณะกรรมการอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทจากทุนจดทะเบียนเดิม 2,222,712,675 บาทมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาทเป็นทุนจดทะเบียนใหม่ไม่เกิน 3,027,615,570 บาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่จานวนไม่เกิน 804,902,895 หุ้นมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ1.00 บาท
บริษัทจะจัดสรรหุ้นส่วนหนึ่งไม่เกิน 444,542,535 หุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสาคัญแสดงสิทธิของบริษัทครั้งที่1 (EARTH-W1) โดยจะออก EARTH-W1 โดยไม่คิดมูลค่า ในอัตราส่วน 5 หุ้นเดิม: 1 หน่วยใบสาคัญแสดงสิทธิ กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการรับใบสาคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทรุ่นที่ 1(EARTH-W1) (Record Date) ในวันที่ 22 สิงหาคม 2554 และให้รวบรวมรายชื่อโดยวิธีปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 23 สิงหาคม 2554 ซึ่งเป็นวันก่อนการเสนอขายหุ้นให้แก่นักลงทุนในวงจำกัด
และจำนวนไม่เกิน 360,360,360 หุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด ราคาขายหุ้นละ 3.33 บาท เพื่อเป็นค่าตอบแทนที่ผู้ถือหุ้นสามัญของ TTP นาหุ้นที่ตนถือมาชาระเป็นค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทแทนการชาระด้วยเงินสด
การเพิ่มทุนและการเข้าซื้อ TTP เพื่อสร้างความมั่นคงของธุรกิจถ่านหินจากการเป็นผู้จัดจาหน่ายถ่านหิน (Trading) ก้าวสู่ความเป็นเจ้าของเหมืองถ่านหิน (Mining) ซึ่งจะเป็นลดความเสี่ยงในด้านการจัดหาวัตถุดิบ และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาวต่อบริษัท อีกทั้ง ช่วยเพิ่มรายได้ในระยะยาวเนื่องจากมีแหล่งวัตถุดิบเป็นของตนเองรวมถึงทาให้อัตรากาไรสุทธิดีขึ้น
นอกจากนี้จะทำให้โครงสร้างเงินทุนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2554 บริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุน เท่ากับ 2.73 เท่าซึ่งภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (Private Placement) ในราคาหุ้นละ 3.33 บาท ซึ่งจะส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นและอัตราหนี้สินต่อทุนที่ลดลง