ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ รับหลักทรัพย์หุ้นสามัญของ บมจ.คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ (QTC)เข้าซื้อขายในหมวดธุรกิจขนาดกลาง ตั้งแต่ 28 ก.ค.54 และเริ่มทำการซื้อขาย 28 ก.ค.54 จำนวนหุ้นจดทะเบียน 200,000,000 หุ้น จำนวนหุ้นชำระแล้ว 200,000,000 หุ้น ราคา Par 1.00 บาท/หุ้น จำนวนหุ้น IPO 50,000,000 หุ้น ราคา IPO 2.00 บาท
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า QTC ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้าแก่ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 150 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท QTC เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) แบ่งเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป 45 ล้านหุ้น ส่วนที่เหลือ 5 ล้านหุ้นเสนอขายแก่กรรมการและพนักงานบริษัทเมื่อวันที่ 20-22 ก.ค.54 รวมมูลค่าการระดมทุนเท่ากับ 100 ล้านบาท โดยมีบริษัท ฟินันเซีย ไซรัส เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
อุตสาหกรรมผลิตหม้อแปลงไฟฟ้า เป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตตามความต้องการใช้ไฟฟ้าของทั้งภาคอุตสาหกรรมและครัวเรือน ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและจำนวนประชากร การระดมทุนของ QTC จะช่วยรองรับการขยายธุรกิจและเสริมฐานะทางการเงินให้แข็งแกร่งจึงนับเป็นอีกทางเลือกให้ผู้ลงทุนได้ลงทุนในธุรกิจที่มีคุณภาพและมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีในระยะยาว
นายพูลพิพัฒน์ ตันธนสิน ประธานกรรมการบริหาร QTC เปิดเผยว่า การที่เข้ามาเป็นบริษัทจดทะเบียนใน mai ซึ่งจะทำให้ QTC มีศักยภาพในการแข่งขันสูงขึ้น โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและลงทุนสร้างอาคารสำนักงานตามแผนงานที่วางไว้ ด้วยความเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการผลิตหม้อแปลงไฟฟ้า ซึ่งผ่านการรับรองคุณภาพมาตรฐานระดับสากลจากสถาบันที่มีชื่อเสียงระดับโลก รวมทั้งได้รับรางวัลระดับชาติหลายรางวัล ขณะเดียวกันบริษัทยังได้รับโอกาสจากการลงทุนตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของภาครัฐ
ดังนั้น จึงเชื่อว่า QTC เป็นบริษัทที่มีศักยภาพและมีความน่าสนใจสำหรับผู้ลงทุน ณ ราคา IPO ของ QTC มีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) 7.17 เท่า มีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะของบริษัทหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและสำรองตามกฎหมาย
ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ QTC 3 รายแรกหลัง IPO ได้แก่กลุ่มนายพูลพิพัฒน์ ตันธนสิน ถือหุ้น 68.59% นางสาวเพ็ญจันทร์ แต้อารักษ์ ถือหุ้น 4.37% และนายศุภกร เอมาสุดา ถือหุ้น0.75%