นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เปิดเผยว่า เครดิตบูโรร่วมกับ บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส(ADVANC) สร้างมาตรฐานใหม่ในการติดตามทวงถามหนี้ค่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีการค้างชำระ หากมีการดำเนินการที่มีลักษณะข่มขู่ สร้างความหวาดกลัวหรือใช้เครดิตบูโรเป็นเครื่องมือในการติดตามหนี้สินอย่างผิดๆ
ทั้งสองกิจการจะเป็นพันธมิตรในการสอดส่องดูแลว่ามีพนักงานหรือผู้ประกอบธุรกิจติดตามหนี้สินที่รับจ้างจาก ADVANC ในการตามหนี้นั้นได้ใช้ข้อความไปข่มขู่ลูกหนี้ที่ค้างค่าโทรศัพท์หรือไม่
นอกจากนี้ เครดิตบูโรอยู่ระหว่างการระดมความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ซึ่งจะเพิ่มเติมให้จัดเก็บประวัติการชำระค่าระบบสาธาณูปโภค เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า และค่าโทรศัพท์ ก่อนรายชื่อเข้าแบล็คลิสต์ออนไลน์ เพื่อระงับสินเชื่อของภาครัฐและเอกชน และข้อความบนเอกสารภายใต้หัวข้อ “ผลเสียของการถูกดำเนินคดีที่ควรทราบ" คือ รายชื่อและนามสกุลติดแบล็คลิสในการทำธุรกรรม
ทั้งนี้ หากเครดิตบูโรได้รับการร้องเรียนและส่งเอกสารการตามหนี้มาจากผู้บริโภคที่ได้รับเอกสาร เมื่อเครดิตบูโรได้รับทราบแล้วจึงประสานงานกับ ADVANC เพื่อสอบสวนการกระทำดังกล่าวและพบว่ามีการกระทำดังกล่าวจริงจะดำเนินการโดยยกเลิกการว่าจ้างกับ บริษัทภายนอก(Outsource) ที่รับจ้างดำเนินการติดตามหนี้ผู้ใช้บริการที่ค้างชำระที่กระทำผิดและจะไม่ทำธุรกิจกับผู้รับจ้างรายดังกล่าวทั้งที่เป็นตัวบุคคล / บริษัทอีกในอนาคตไม่ว่าจะเป็นงานอื่นใด รวมถึงพิจารณาดำเนินคดีทางกฎหมาย
พร้อมร่วมกันกับเครดิตบูโรแจ้งแก่ประชาชนให้ได้รับทราบในสิ่งที่ถูกต้องว่าข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง อย่าหลงเชื่อเด็ดขาด และเครดิตบูโรจะส่งเรื่องให้สภาทนายความพิจารณา หากผู้ดำเนินการนั้นเป็นสมาชิกสภาทนายความ
"ทั้งเครดิตบูโรและเอไอเอสต่างก็เป็นผู้ประกอบธุรกิจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประชาชน การรักษามาตรฐานการเป็นกิจการที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคมเป็นสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายต่างยึดมั่น เราจะไม่ต่อรองกับการกระทำแบบนี้ และครั้งนี้จะเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนกับอุตสาหกรรมว่าผู้นำในอุตสาหกรรมการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ยกระดับมาตรฐานการดำเนินการที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดกับบริษัท Outsource ที่ดำเนินการอย่างขาดความรับผิดชอบ"นายสุรพล กล่าว
ด้านนางวิไล เคียงประดู่ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส ส่วนงานประชาสัมพันธ์ ADVANC กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทฯมีการว่าจ้างให้ Outsource ติดตามหนี้ผู้ใช้บริการที่ค้างชำระให้แก่บริษัทฯ โดยที่ผ่านมาได้มีบางบริษัทที่ใช้ถ้อยคำหรือข้อความที่กล่าวอ้างถึงเครดิตบูโร ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ผู้ถูกติดตามทวงถามหนี้เข้าใจผิดได้ว่า การค้างชำระค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้นจะถูกเป็นแบล็คลิสต์ในเครดิตบูโร ดังนั้น บริษัทฯจึงได้มีความเห็นเช่นเดียวกันกับเครดิตบูโรว่าเป็นสิ่งที่ต้องแจ้งแก่ประชาชนให้ได้รับทราบในสิ่งที่ถูกต้องว่า ข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง
ที่ผ่านมาบริษัทฯได้ดำเนินการยกเลิกการว่าจ้างบริษัท Outsource ดังกล่าวแล้ว และได้อยู่ระหว่างการพิจารณาดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไป นอกจากนี้ยังได้ออกจดหมายแจ้งเตือนไปยัง Outsource อื่นๆ ขอให้ระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการกระทำอันใดก็ตามที่อาจทำให้ผู้ถูกทวงถามหนี้เข้าใจผิดในลักษณะดังกล่าวได้ ซึ่งหาก Outsource ใดไม่ปฏิบัติตาม ก็จะถูกดำเนินการยกเลิกการว่าจ้างและพิจารณาดำเนินคดีทางกฎหมายเช่นเดียวกัน
พร้อมกันนั้น บริษัทฯ ยังได้ออกจดหมายถึงผู้ใช้บริการที่ค้างชำระและถูกทวงถามหนี้จากบริษัท Outsource ดังกล่าวนั้น ซึ่งมีอยู่ประมาณ 2,000 ราย เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องด้วยเช่นกัน
โดยในช่วงไตรมาส 1/54 มีลูกค้าของบริษัทที่ต้องถูกติดตามทวงหนี้ค่าโทรศัพท์อยู่ประมาณ 20,000 ราย คิดเป็นมูลค่ารวมกันราว 30 ล้านบาท หรือคิดเป็นไม่ถึง 1% ของฐานลูกค้ารวมที่มีอยู่กว่า 30 ล้านราย ซึ่งเฉลี่ยทั้งปีแล้วคาดว่าลูกค้าที่ต้องถูกติดตามหนี้คงอยู่ที่ 20,000 ราย
"ส่วนใหญ่แล้วลูกค้าของเราจะเป็นลูกค้าชั้นดี ถ้ามีการค้างชำระ 1-2 เดือน เราจะมีการส่ง sms ไปเตือนก่อน ถ้า 2-4 เดือน ถึงจะมีการระงับการโทรออกแต่ยังรับสายได้ ถ้า 6 เดือน ถึงจะมีการแจ้งให้ outsource ไปตาม ซึ่งลูกค้าที่ถูกทวงหนี้ในช่วงไตรมาส 1/54 มีอยู่ประมาณ 20,000 ราย เฉลี่ยทั้งปีแล้วก็คงจะเท่านี้"นางวิไล กล่าว