นายไพฑูรย์ กำชัย เลขานุการบริษัท บมจ. เด็มโก้ (DEMCO) แจ้งว่า บริษัทได้เข้าลงทุนในบริษัท อีโอลัส พาวเวอร์ จำกัด (อีโอลัส) โดยการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนครั้งแรก จำนวน 7,162,162 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 7.1 ของหุ้นทั้งหมดของอีโอลัส ในราคาหุ้นละ 37 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 264.999 ล้านบาท โดยบริษัทเข้าทำสัญญาที่เกี่ยวข้องกับการร่วมทุนและพัฒนาโครงการ เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2554 ชำระค่าหุ้นในวันที่ 29 กรกฎาคม 2554
ผลจากการลงทุนทำให้โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานลมห้วยบง สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขทางการเงิน (Financial Close) และบริษัทสามารถเริ่มงานก่อสร้างและรับรู้รายได้ได้ตั้งแต่ วันที่ 1 สิงหาคม 2554 มีกำหนดแล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม 2555
นายพงษ์ศักดิ์ ศิริคุปต์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ DEMCO กล่าววา ประโยชน์ที่เด็มโก้จะได้รับจากเข้าซื้อหุ้นอีโอลัส คือในฐานะของผู้รับงานก่อสร้างโครงการ และการเป็นผู้ถือหุ้นผ่านบริษัท อีโอลัส พาวเวอร์ จำกัด โดยมูลค่างานก่อสร้างที่เด็มโก้ได้รับรวมประมาณ 2,300 ล้านบาท จะเริ่มได้ในทันทีและจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 1,000 ล้านบาท อีก 1,300 ล้านบาททยอยรับรู้ในปีหน้า
ส่วนประโยชน์จากการเป็นผู้ถือหุ้นผ่านอีโอลัสนั้น ได้มีการคำนวณผลตอบแทนจากการลงทุน (Equity IRR) มากกว่า 15 % คิดเป็นเงินปันผลไม่ต่ำกว่าปีละ 200 ล้านบาท และจะมีกำไรจากโครงการ ไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาท หรือหากเด็มโก้ไม่ถือหุ้นไปตลอดโครงการ แต่ขายหุ้นให้กับผู้ถือลงทุนรายอื่นก็มีการกำหนดราคาไว้แล้วที่ 1,570 ล้านบาท หรือ เท่ากับกำไรจากการถือ 270 ล้านบาท ในเวลาประมาณ 2 ปี
"ประโยชน์ที่ได้นอกจากเรื่องเงินแล้วยังเป็นการขยายธุรกิจของบริษัทฯ ไปในทิศทางที่เป็นจุดแข็งของเรา สร้างผลงานอ้างอิงที่จะทำให้รับงานประเภทนี้มากขึ้นอีกในอนาคต ทั้งในและต่างประเทศ เพราะโครงการพลังงานหมุนเวียนเป็นทิศทางที่รัฐบาลทั่วโลกสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ หรือพลังงานทดแทนอื่นๆ" นายพงษ์ศักดิ์กล่าว
สำหรับโครงการพลังงานลมห้วยบงนั้น มีผู้ถือหุ้น 3 ราย คือ บริษัท อีโอลัส พาวเวอร์ จำกัด ถือหุ้น 60% ร่วมกับพันธมิตรซึ่งเป็นผู้ประกอบการด้านโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ของประเทศไทย 1 ราย และประเทศญี่ปุ่น 1 ราย ถือหุ้นในสัดส่วนรายละ 20% ได้แก่ บมจ. ราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) และ Chubu Electric Power Korat ,BV
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า แผนงานที่วางไว้ยังคงเป็นไปตามแผน โดยปัจจุบันงานในมือ (Backlog) ที่มีอยู่กว่า 7,000 ล้านบาทซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ 4,500-5,000 ล้านบาทไม่ได้ไกลเกินเอื้อม และบริษัทยังเหลืองานไปดำเนินการในปีหน้าอีกไม่น้อยกว่า 3,200 ล้านบาท ทำให้มั่นใจว่าในปีต่อๆ ไป บริษัทจะรับรู้รายได้ไม่น้อยกว่าปีละ 5,000 ล้านบาทอย่างแน่นอน