บมจ. เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) (DELTA) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/54 มียอดขายเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 16.5 จากจำนวน 8,544 ล้านบาทของไตรมาสเดียวกันปีก่อนเป็น 9,951 ล้านบาท เนืองจากการเติบโตของกลุ่มผลิตภัณฑ์ IESBG (สินค้าในกลุ่มส่วนใหญ่ประกอบด้วยเพาเวอร์ซิสเต็มสำหรับระบบโทรคมนาคม) ที่เพิ่มสูงขึ้นประมาณร้อยละ 42 จากยอดขายในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายในตลาดอเมริกาใต้
นอกจากนี้ ธุรกิจในกลุ่ม Pan PSBG (ประกอบด้วยเพาเวอร์ซัพพลายสำหรับผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม IT ได้แก่ เซิร์ฟเวอร์ เน็ตเวิร์คกิ้ง ผลิตภัณฑ์กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการบริโภค และดีซีดีซีคอนเวอร์เตอร์) ก็มียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างน่าพอใจเช่นกัน โดยสามารถทำยอดขายได้เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 20 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และสำหรับผลิตภัณฑ์โซลาร์อินเวอร์เตอร์ในไตรมาสนี้ แม้ว่ายอดขายจะลดลงเมื่อเทียบกับการดำเนินงานในไตรมาสเดียวกันของปี ก่อนแต่เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมาก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้นโดยมียอดขายเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 50 จากไตรมาสก่อนของปีนี้
อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 2/54 ลดลงจากร้อยละ 28.4 ในไตรมาสสองของปีก่อนลงเหลือร้อยละ 24.3 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากยอดขายโซลาร์อินเวอร์เตอร์ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาสก่อน ประกอบกับการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้ บริษัทฯมีค่าใช้จ่ายในการขายที่เพิ่มสูงขึ้นจากการพัฒนางานด้านการขายและการตลาดของผลิตภัณฑ์โซลาร์ อินเวอร์เตอร์ประกอบกับการแข็งค่าของเงินยูโรเมื่อเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ มีผลให้ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเมื่อเทียบกับยอดขาย (ไม่รวมค่าใช้จ่ายด้านวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์) มีอัตราสูงขึ้นจากร้อยละ 9.95 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเป็นร้อยละ 10.9
และจากการที่บริษัทฯ ได้มุ่งดำเนินการด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์เดิมและผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งได้แก่ ผลิตภัณฑ์โซลาร์อินเวอร์เตอร์ ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มยานยนต์และกลุ่มพลังงานลม (Wind turbine converter) จึงทำให้ค่าใช้จ่ายในด้านการวิจัยและพัฒนาเพิ่มสูงขึ้นจากร้อยละ 4.8 ของยอดขายในไตรมาส 2/53 เป็นร้อยละ 5.8 ในไตรมาสนี้ จึงเป็นผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (หลังหักค่าใช้จ่ายวิจัยและพัฒนา) ในไตรมาสนี้ลดลงจากร้อยละ 13.7 ในไตรมาสสองของปี ก่อนเหลือเพียงร้อยละ 7.5 และเมื่อรวมกับรายได้อื่นซึ่งรายการหลักได้แก่เงินปันผลรับจากบริษัทในเครือจำนวนประมาณ 65 ล้านบาท
ทำให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิในงวดนี้รวมเป็นเงิน 912 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 19.5 จากงวดเดียวกันของปี ก่อนและมีกำไรต่อหุ้น 0.73 บาทลดลงจาก 0.89 บาทในงวดเดียวกันของปีก่อน