นายรังสิน กฤตลักษณ์ กรรมการบริหารและผู้อำนวยการใหญ่สายปฏิบัติการ บมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) เปิดเผยผลคำ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดตัดสินให้ บมจ. ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (บีทีเอสซี) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ได้รับชำระเงินค่าชดเชยงานก่อสร้างฐานรากโรงจอดและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าซึ่งบีทีเอสซีได้ใช้จ่ายไปในการก่อสร้างตั้งแต่ช่วงปี 2539 — 2542 คืน
เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2554 ศาลปกครองสูงสุดตัดสินให้กรมธนารักษ์ และกระทรวงการคลัง ร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าชดเชยงานก่อสร้างฐานรากโรงจอดและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้า จำนวน 648,017,538.06 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 607,217,512.96 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่บีทีเอสซี (วันฟ้องคดีคือวันที่ 2 มกราคม 2545) โดยให้ ชำระให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด (คดีถึงที่สุดในวันที่ 15 กันยายน 2554)
ทั้งนี้ บีทีเอสซีซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าบีทีเอสจากกรุงเทพมหานคร มีหน้าที่ต้องดำเนินการก่อสร้างโรงจอดและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าตามข้อกำหนดในสัญญาสัมปทาน และตามเงื่อนไขการก่อสร้างอาคารยกกรรมสิทธิ์ให้กระทรวงการคลังระหว่างกรุงเทพมหานครและกรมธนารักษ์ จะต้องมีการดำเนินการก่อสร้างฐานรากและงานโครงสร้างของโรงจอดและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าเพิ่มเติมให้สามารถรองรับอาคารด้านบนที่กรมธนารักษ์มีแผนการที่จะดำเนินการพัฒนาเป็นศูนย์ระบบการขนส่ง จราจร และอาคารพาณิชยกรรมบางส่วน ตามโครงการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในที่ราชพัสดุ บริเวณสถานีขนส่งหมอชิตโดยบีทีเอสซีจะได้รับค่าชดเชยค่าฐานรากและงานโครงสร้างเฉพาะส่วนที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับอาคารด้านบนอาคารโรงจอดและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าคืน ซึ่งบีทีเอสซีได้ดำเนินการก่อสร้างตามเงื่อนไขดังกล่าวและออกค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างสำหรับส่วนเพิ่มเติมไปแล้ว
ดังนั้น เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2545 บีทีเอสซีจึงได้ยื่นฟ้องบุคคลที่เกี่ยวข้องต่อศาลแพ่ง ซึ่งต่อมาคดีได้โอนไปยังศาลปกครอง โดยบีทีเอสซีขอให้มีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งให้บุคคลที่เกี่ยวข้องร่วมกันชำระเงินค่าชดเชยงานก่อสร้างฐานรากโรงจอดและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าเพื่อรองรับอาคารด้านบนอาคารโรงจอดและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้า ตามโครงการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในที่ราชพัสดุ บริเวณสถานีขนส่งหมอชิต ที่บีทีเอสซีได้ใช้จ่ายในการก่อสร้างไปล่วงหน้าแล้วคืน