ทริสฯให้เครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกัน-องค์กร IVLที่ "A+" แนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday September 29, 2011 09:53 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศผลอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 8,000 ล้านบาทของ บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) ที่ระดับ “A+" พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ “A+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปใช้ชำระหนี้และขยายธุรกิจในอนาคต

อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะที่แข็งแกร่งในการเป็นผู้ผลิตชั้นนำระดับโลกในธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์ ตลอดจนการมีฐานการผลิตที่มีประสิทธิภาพ และความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตจากการรวมกันในแนวดิ่ง (Vertical Integration) รวมถึงการมีฐานลูกค้าที่กระจายตัวทั่วโลก ในการพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความสามารถและประสบการณ์ของคณะผู้บริหาร รวมทั้งการเข้าถึงเทคโนโลยีสำคัญของอุตสาหกรรมด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวมีข้อจำกัดจากลักษณะที่ผันผวนของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ตลอดจนการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อบรรลุเป้าหมายการเติบโตของบริษัท และความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลก

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่แน่นอนจากประโยชน์ที่ได้รับจาก Vertical Integration นอกจากนี้ ยังคาดหมายว่าบริษัทจะสามารถรักษาความแข็งแรงทางการเงินและมีสภาพคล่องที่เพียงพอที่จะบรรเทาความผันผวนของธุรกิจปิโตรเคมีได้

ทริสเรทติ้งรายงานว่า IVL ก่อตั้งเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2546 โดยกลุ่มตระกูลโลเฮีย (Lohia) ภายใต้ชื่อเดิมคือ บริษัท บีคอน โกลโบล จำกัด ในฐานะเป็นบริษัทเพื่อการลงทุน บริษัทลงทุนในกิจการที่เกี่ยวกับธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์เป็นหลักซึ่งประกอบด้วย การผลิตกรดเทอเรฟธาลลิกบริสุทธิ์ (Purified Terephthalic Acid --- PTA) การผลิตโพลีเอธิลีน เทอเรฟธาลเลท (Polyethylene Terephthalate -- PET) และการผลิตเส้นใยและเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์ ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตติดตั้งสำหรับ PTA ที่ขนาด 1.93 ล้านตันต่อปี สำหรับ PET ที่ขนาด 3.39 ล้านตันต่อปี และสำหรับเส้นใยและเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์รวมกันที่ขนาด 0.63 ล้านตันต่อปี PTA เป็นวัตถุดิบสำคัญในกระบวนการผลิต PET และเส้นใยและเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์

PET ใช้อย่างกว้างขวางในการผลิตบรรจุภัณฑ์สำหรับเครื่องดื่ม อาหาร ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนตัว เครื่องใช้ในครัวเรือน เวชภัณฑ์ รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าอุตสาหกรรมอื่น ๆ สำหรับเส้นใยและเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์นั้นใช้ในอุตสาหกรรมปลายน้ำหลากหลายประเภท ได้แก่ เครื่องแต่งกาย สิ่งทอที่ใช้ภายในครัวเรือน ผลิตภัณฑ์เส้นใยที่ไม่ทอ สิ่งทอชนิดพิเศษ และอุตสาหกรรมยานยนต์

ทั้งนี้ PET และเส้นใยและเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์ยังมีโอกาสเติบโตต่อไปจากการมีคุณสมบัติที่ใช้ทดแทนวัสดุอื่นได้ โดย PET ใช้ทดแทนแก้วและอลูมิเนียมในการผลิตบรรจุภัณฑ์ ในขณะที่เส้นใยและเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์ใช้ทดแทนเส้นด้ายและเส้นใยที่ทำจากฝ้าย วัสดุทั้ง 2 กลุ่มนี้เป็นที่นิยมเพราะมีคุณสมบัติที่โดดเด่น อีกทั้งยังนำกลับมาใช้ใหม่ได้ และมีราคาถูก ซึ่งจะช่วยพยุงอุปสงค์ของ PET และเส้นใยและเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์ในช่วงภาวะเศรษฐกิจขาลง

IVL เป็นหนึ่งในกลุ่มอินโดรามา ซึ่งมีบริษัทที่เกี่ยวข้องดำเนินธุรกิจในประเทศอินโดนีเซียและอินเดียโดยเน้นผลิตภัณฑ์โพลีเอสเตอร์และปิโตรเคมีอื่น ๆ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2553 ส่งผลให้ในปัจจุบันกลุ่มตระกูลโลเฮียมีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทลดลงจาก 92.9% เหลือ 66.4% บริษัทมีสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศไทยโดยตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ บริษัทเริ่มเข้าสู่อุตสาหกรรมการผลิตในธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์เมื่อปี 2538 โดยเริ่มการผลิต PET ที่ลพบุรี (ประเทศไทย) ภายใต้ชื่อ บมจ. อินโดรามา โพลีเมอร์ บริษัทมีเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่จะเป็นผู้นำในธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์ระดับสากล

ระหว่างปี 2549-2553 บริษัทมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าตัวจากการควบรวมกิจการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการซื้อกิจการที่ดำเนินการผลิตแล้ว และการพัฒนาโครงการผลิต PET ใหม่โดยบริษัทเอง โครงการที่บริษัทพัฒนาเองที่ประสบความสำเร็จประกอบด้วยโครงการ Orion Global ในประเทศลิธัวเนียในปี 2549 และโครงการ Alphapet ในประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 2552 ต่อมาในปี 2554 บริษัทยังได้ซื้อกิจการในประเทศสหรัฐอเมริกา เม็กซิโก โปแลนด์ จีน อินโดนีเซีย และเยอรมันนี โดยในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 บริษัทใช้งบในการซื้อกิจการรวมทั้งสิ้นประมาณ 22,000 ล้านบาท ซึ่งทำให้บริษัทกลายเป็นผู้ผลิต PET รายใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งนี้ จะมีการติดตามผลการดำเนินงานหลังการควบรวมกิจการต่อไป

ปัจจุบันบริษัทมีฐานการผลิตกระจายอยู่ใน 11 ประเทศ ครอบคลุม 3 ทวีป (เอเซีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ) นอกจากนี้ บริษัทยังมีโครงการผลิต PET ในประเทศไนจีเรีย ทวีปแอฟริกา ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาด้วย ความสำเร็จในการขยายธุรกิจของบริษัทส่วนหนึ่งเป็นผลจากการซื้อกิจการที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างโดยซื้อได้ในราคาต่ำ รวมทั้งความมุ่งมั่นของผู้บริหารที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และความสามารถในการใช้เทคโนโลยีที่สำคัญ ๆ

นอกจากนี้ การที่บริษัทมีฐานการผลิตกระจายตัวอยู่ในภูมิภาคที่สำคัญยังช่วยให้บริษัทเข้าถึงฐานลูกค้าทั่วโลก ส่งผลให้บริษัทสามารถคงอัตราการใช้กำลังการผลิตได้ในระดับสูง การควบคุมปัจจัยการผลิตที่มีประสิทธิภาพนั้นเป็นผลมาจากการมีแหล่งวัตถุดิบเป็นของตนเองจาก Vertical Integration และการมีโรงงานที่ใช้พื้นที่ร่วมกับผู้ผลิตวัตถุดิบรายสำคัญ

ปัจจัยเหล่านี้ช่วยให้บริษัทสามารถเสนอราคาที่แข่งขันได้เนื่องจากมีความได้เปรียบในด้านต้นทุนการผลิตและค่าขนส่ง นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาการกีดกันทางการค้าในตลาดที่สำคัญ เช่น อเมริกาเหนือ และยุโรป อีกทั้งการที่บริษัทลงทุนการผลิตทั้ง PTA และผลิตภัณฑ์โพลีเอสเตอร์นั้นจะช่วยให้บริษัทสามารถเพิ่มอัตราการทำกำไรให้สูงขึ้นและมีเสถียรภาพยิ่งขึ้น

เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทจัดอยู่ในประเภทสินค้าโภคภัณฑ์ บริษัทจึงมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์และอุตสาหกรรมปิโตรเคมี กำลังการผลิตใหม่และความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลกอาจมีผลกระทบต่ออุปสงค์ ราคา และกำไร อย่างไรก็ตาม รูปแบบธุรกิจของบริษัททั้งในการผลิต PTA และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องน่าจะช่วยบรรเทาความผันผวนดังกล่าวลงได้ นอกจาก Vertical Integration จะช่วยให้บริษัทมีวัตถุดิบที่แน่นอนสำหรับการผลิต PET ตลอดจนเส้นใยและเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์แล้ว ยังช่วยลดค่าขนส่งและต้นทุนการผลิตคงที่จากการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ร่วมกันด้วย

ฐานะทางการเงินของบริษัทถือว่าอยู่ในระดับปานกลาง รายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 18,760 ล้านบาทในปี 2549 เป็น 53,332 ล้านบาทในปี 2551 และ 96,858 ล้านบาทในปี 2553 รายได้ที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการควบรวมกิจการในปี 2551 และการเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโรงงานในประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 2552 สำหรับช่วงครึ่งแรกของปี 2554 การซื้อกิจการและราคาขายที่ปรับเพิ่มขึ้นทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น 91.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 91,853 ล้านบาท

อัตราการทำกำไรของบริษัทก็ปรับตัวดีขึ้นหลังจากรวมการผลิต PTA เข้ามาในกลุ่มกิจการตั้งแต่ปี 2551 อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้เพิ่มขึ้นจาก 8.2% ในปี 2550 เป็นประมาณ 13% ในระหว่างปี 2552-2553 สำหรับครึ่งแรกของปี 2554 อัตราส่วนดังกล่าวลดลงเหลือ 10.9% เนื่องจากส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ PTA ปรับตัวลดลงอย่างมาก ซึ่งแม้ว่าส่วนต่างราคาของ PET จะเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะช่วยชดเชยได้ ทั้งนี้ จะต้องมีการติดตามและประเมินผลความสามารถในการทำกำไรของบริษัทต่อไป

การที่บริษัทมีทั้งฐานการผลิตและลูกค้าขนาดใหญ่หลังการซื้อกิจการส่งผลทำให้เงินทุนจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 2,673 ล้านบาทในปี 2551 เป็น 11,153 ล้านบาทในปี 2553 และทำให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมดีขึ้นจาก 6.3% ในปี 2551 เป็น 34.6% ในปี 2553 สำหรับครึ่งแรกของปี 2554 บริษัทมีเงินทุนจากการดำเนินงาน 9,440 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายก็ดีขึ้นเช่นกันจาก 2.5 เท่าในปี 2551 เป็น 10-11 เท่าในช่วงปี 2553 ถึงครึ่งแรกของปี 2554

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในปี 2551 ส่งผลทำให้ฐานะการเงินของบริษัทอ่อนแอลง โดยเงินกู้รวมเพิ่มขึ้นจาก 11,562 ล้านบาทในปี 2550 เป็น 42,602 ล้านบาทในปี 2551 ซึ่งรวมถึงเงินกู้เพื่อการลงทุนและเงินกู้ของบริษัทที่มีการควบรวมกิจการเข้ามา ทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 64.6% เป็น 70.6% ในช่วงเวลาดังกล่าว ในช่วงปี 2553 ถึงครึ่งแรกของปี 2554 ฐานะการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากการเพิ่มทุนจากการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนมูลค่ารวม 3,824 ล้านบาทในปี 2553 และการใช้สิทธิตามใบแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้ในมูลค่าสุทธิ 17,224 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 ทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้นเป็น 47.9% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 แม้เงินกู้รวมของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 56,502 ล้านบาทจาก 32,205 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2553 ก็ตาม

บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดทั้งสิ้นจำนวน 20,595 ล้านบาทซึ่งจะนำไปใช้ชำระหนี้บางส่วนก่อนกำหนดจำนวนประมาณ 5,300 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งจะนำไปใช้ชำระคืนเงินกู้มีประกันของบริษัท ดังนั้น จึงคาดว่าสัดส่วนเงินกู้มีประกันต่อสินทรัพย์รวมของบริษัทจะต่ำกว่า 20% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 บริษัทมีแผนจะลงทุนเพิ่มอีกในช่วงปี 2554-2557 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเพิ่มกำลังการผลิตโดยรวมให้ถึง 10 ล้านตันต่อปี ซึ่งการลงทุนดังกล่าวอาจใช้เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทและการกู้เพิ่ม ฉะนั้นจึงคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับ 40%-50% ต่อไปในระยะสั้นถึงปานกลาง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ