บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของ บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ที่ระดับ “A" พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 800 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A" เช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Stable" หรือ “คงที่" บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระหนี้หุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนตุลาคม 2554 นี้
อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงความหลากหลายของธุรกิจ ตลอดจนสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่ง และคณะผู้บริหารที่มีความสามารถ นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการขยายตัวของธุรกิจรับจ้างบริหารโรงแรมและธุรกิจอาหารแบบแฟรนไชส์ รวมถึงการขยายกิจการในต่างประเทศทั้งในส่วนของธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารบริการด่วนด้วย อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะของธุรกิจโรงแรมที่ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจ ตลอดจนการแข่งขันที่รุนแรง และอัตรากำไรที่ต่ำของธุรกิจอาหารบริการด่วนและธุรกิจจัดจำหน่าย และนโยบายการเติบโตแบบเชิงรุกของบริษัท
ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทจะยังคงแข็งแกร่ง ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นโดยเป็นไปในทิศทางเดียวกับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรม ในขณะที่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของภาระหนี้อาจส่งผลในทางลบต่อคุณภาพเครดิตของบริษัท
ทริสเรทติ้งรายงานว่า MINT ก่อตั้งในปี 2521 โดย Mr. William Ellwood Heinecke เพื่อดำเนินธุรกิจโฮลดิ้งโดยการถือหุ้นในบริษัทย่อยที่ดำเนินกิจการหลัก 3 ประเภทได้แก่ ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจอาหารบริการด่วน และธุรกิจจัดจำหน่ายและรับจ้างผลิตสินค้า โดยประมาณ 45.1% ของรายได้รวมของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 มาจากธุรกิจอาหารบริการด่วน ส่วนรายได้จากธุรกิจโรงแรมและธุรกิจจัดจำหน่ายคิดเป็น 27.2% และ 13.2% ตามลำดับ
หลังจากประสบความสำเร็จในการซื้อกิจการของ Oaks Hotel & Resorts Ltd. (OAKS) ในเดือนมิถุนายน 2554 โรงแรมภายใต้การบริหารงานของบริษัทก็เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว โดยอยู่ที่ 73 แห่ง ประกอบด้วยโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของ 15 แห่ง (2,563 ห้อง) โรงแรมภายใต้การร่วมทุน 13 แห่ง (733 ห้อง) และโรงแรมภายใต้การรับจ้างบริหารจัดการ 44 แห่ง (6,350 ห้อง) ซึ่งสถานที่ตั้งครอบคลุมทวีปเอเซีย อนุทวีปอินเดีย ตะวันออกกลาง และทวีปออสเตรเลีย บริษัทบริหารและดำเนินงานโรงแรมเหล่านี้ภายใต้เครือโรงแรมที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น Mariott, Four Seasons และ St. Regis และภายใต้เครือโรงแรมของบริษัทเองคือ Anantara, Elewana, Naladhu และ OAKS
สำหรับธุรกิจอาหารบริการด่วนนั้น มีบริษัทในเครือคือ บมจ. เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป (MFG) ซึ่งก่อตั้งในปี 2523 เป็นผู้ดำเนินกิจการธุรกิจอาหารบริการด่วนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ MFG เป็นเจ้าของและผู้ประกอบการอาหารบริการด่วนแบบแฟรนไชส์ของต่างประเทศจำนวน 4 แบรนด์ ได้แก่ “สเวนเซ่นส์" “ซิซซ์เล่อร์" “แดรี่ ควีน" และ “เบอร์เกอร์ คิง" รวมทั้งยังบริหาร “เดอะ พิซซ่า คอมปะนี" “เดอะค็อฟฟีคลับ" และ “ไทยเอ็กเพรส" ซึ่งเป็นแบรนด์สินค้าของบริษัทเองด้วย โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 MFG มีร้านอาหารเปิดให้บริการรวม 682 แห่ง ตลอดจนร้านแฟรนไชส์และแฟรนไชส์ย่อยอีกประมาณ 487 แห่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ในช่วงกลางปี 2552 บริษัทได้ปรับโครงสร้างธุรกิจและรวมกิจการของ บมจ.ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น (MINOR) ซึ่งประกอบด้วย สินค้าแฟชั่น เครื่องสำอาง และโรงงานรับจ้างผลิตสินค้าเข้ามาอยู่ภายใต้เครือของบริษัท โดยมีแบรนด์สินค้าที่สำคัญ อาทิ Gap, Esprit, Bossini, Red Earth, Bloom, Charles & Keith และ Tumi
ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากผลประกอบการของธุรกิจโรงแรมที่อ่อนแอลงจากวิกฤติการเงินทั่วโลกและความไม่สงบของการเมืองภายในประเทศไม่ว่าจะเป็นการปิดสนามบินในเดือนธันวาคม 2551 และการประท้วงต่าง ๆ ในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 ซึ่งส่งผลทำให้รายได้จากธุรกิจโรงแรมลดลงจากกว่า 6,000 ล้านบาทในปี 2551 เหลือ 4,864 ล้านบาทในปี 2553
อย่างไรก็ตาม รายได้ที่ลดลงจากธุรกิจโรงแรมได้รับการชดเชยด้วยรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจอาหารบริการด่วนซึ่งพึ่งพิงตลาดภายในประเทศและมีความยืดหยุ่นต่อความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจมากกว่า ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานที่อ่อนแอลงในช่วงปี 2551-2553 ประกอบกับ การที่บริษัทมีการลงทุนที่สูงในช่วงเวลาดังกล่าวจากการก่อสร้างโรงแรม 2 แห่ง (St. Regis ที่กรุงเทพฯ และ Anantara Kihavah ที่เกาะมัลดีฟส์) ส่งผลให้โครงสร้างการเงินของบริษัทอ่อนแอลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผลประกอบการของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 ปรับตัวดีขึ้นอย่างมากทั้งในแง่ของรายได้และกำไรเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น 37% อยู่ที่ 12,275 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากการขายคอนโดมิเนียมโครงการ St. Regis Residence และโครงการพักผ่อนแบบปันส่วนเวลาของกลุ่มอนันตรา (Anantara Vacation Club-AVC) เป็นหลัก
นอกจากนี้ รายได้ที่เพิ่มขึ้นยังเป็นผลมาจากการรวมงบการเงิน 1 เดือนของ OAKS เข้ามาด้วย อีกทั้งผลประกอบการของธุรกิจอื่น ๆ ในกลุ่มก็ปรับตัวดีขึ้นทั้งหมด อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทปรับลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 15.63% เปรียบเทียบกับ 16.62% ในช่วงเดียวกันของปีก่อนทั้ง ๆ ที่อัตรากำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 ปรับตัวดีขึ้น ปัจจัยที่ทำให้อัตรากำไรในช่วงครึ่งปีแรกลดลงเป็นผลมาจากการที่บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายก่อนเปิดดำเนินงานโรงแรม Anantara Kihavah ที่เกาะมัลดีฟส์ และ St. Regis กรุงเทพฯ ในเดือนกุมภาพันธ์และเมษายน 2554 รวมถึงการมีค่าใช้จ่ายในการขายและการตลาดของโครงการ St. Regis Residence และ AVC ที่เพิ่มขึ้น
ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 14,368 ล้านบาทในปี 2553 มาอยู่ที่ 19,574 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 ซึ่งเป็นผลมาจากการกู้ยืมเพื่อซื้อกิจการของ OAKS และการรวมงบการเงินของ OAKS อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 58.52% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 ในอนาคตบริษัทยังคงมีนโยบายเติบโตทั้งตามภาวะปกติของธุรกิจและโดยการซื้อกิจการ โดยที่แหล่งเงินทุนที่จะใช้สนับสนุนการเติบโตบางส่วนอาจจะมาจากการกู้ยืม ฉะนั้น ทริสเรทติ้งจึงหวังว่าบริษัทจะรักษาสมดุลระหว่างสัดส่วนการทำกำไรและหนี้สินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม