SCC เผยกำไร Q3/54 โต 13% จาก Q3/53 แต่ลดลงจาก Q2/54

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday October 26, 2011 15:26 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ชี้แจงภาพรวมธุรกิจในไตรมาสที่ 3 ปี 2554 เอสซีจีมีกำไรสำหรับงวดเท่ากับ 7,377 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งรวมกำไรจากการขายเงินลงทุนของธุรกิจเคมีภัณฑ์ โดยเอสซีจีมี EBITDA เท่ากับ 10,589 ล้านบาท ลดลง 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจาก Margin ของธุรกิจเคมีภัณฑ์ลดลง และมีรายได้จากการขายเท่ากับ 94,281 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ของธุรกิจส่วนใหญ่ในเอสซีจีปรับตัวสูงขึ้น

อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เอสซีจีมีกำไรสำหรับงวดลดลง 2% เนื่องจากราคาพลังงานของธุรกิจซิเมนต์ที่ปรับตัวสูงขึ้น และธุรกิจการลงทุนมีเงินปันผลรับลดลงจากไตรมาสก่อน และมี EBITDA ลดลง 25% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากเงินปันผลรับจากบริษัทร่วมของธุรกิจเคมีภัณฑ์ลดลง รายได้จากการขายเท่ากับ 94,281 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนของปี 2554 เอสซีจีมีกำไรสำหรับงวดเท่ากับ 24,080 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจซิเมนต์และธุรกิจเคมีภัณฑ์ โดยเอสซีจี มี EBITDA เท่ากับ 38,269 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้จากการขายเท่ากับ 280,635 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ของทุกธุรกิจปรับตัวสูงขึ้นในช่วง 9 เดือนของปี 2554 เอสซีจีมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม 6,653 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ไตรมาส 3 ปี 2554 เอสซีจีมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมเท่ากับ 1,940 ล้านบาทลดลง 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลการดำเนินงานที่ลดลงของบริษัทร่วมในธุรกิจเคมีภัณฑ์ ในขณะที่เพิ่มขึ้น 16% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจการลงทุนเอสซีจีมีรายได้เงินปันผลรับในช่วง 9 เดือนของปี 2554 เท่ากับ 6,472 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 104% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเอสซีจีมีเงินปันผลรับจากบริษัทร่วมที่เอสซีจีถือหุ้นตั้งแต่ 20 - 50% เท่ากับ 4,881 ล้านบาท รวมทั้งบริษัทอื่นที่เอสซีจีถือหุ้นต่ำกว่า 20% เท่ากับ 1,591 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทมีเงินสดและเงินสดภายใต้การบริหาร ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2554 เท่ากับ 49,662 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน 8,567 ล้านบาท จากการซื้อธุรกิจและการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลปี 2554 ให้แก่ผู้ถือหุ้น จำนวนเงินประมาณ 6,600 ล้านบาท

สำหรับผลประกอบการแบ่งตามกลุ่มธุรกิจ รายได้จากการขายของเอสซีจี เคมิคอลส์ ในไตรมาสนี้ เท่ากับ 48,841 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น โดยมี EBITDA เท่ากับ 2,673 ล้านบาท ลดลง 44%เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และ 38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเงินปันผลรับจากบริษัทร่วมลดลงและ Margin ของผลิตภัณฑ์พลอยได้ลดลง ธุรกิจมีกำไรสำหรับงวดเท่ากับ 3,230 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% จากไตรมาสก่อน เป็นผลมาจากกำไรจากการขายเงินลงทุน ในขณะที่ลดลง 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากราคาของ Feedstock เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ในไตรมาสที่ 3 ปี 2554 ราคา Naphtha เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 956 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลงจาก ไตรมาสก่อน 37 เหรียญสหรัฐต่อตัน เนื่องจากการเป็นช่วงการหยุดซ่อมแซมของโรงงานโอเลฟินส์หลายแห่ง ทำให้ความต้องการ Naphtha ลดลง ในขณะที่เพิ่มขึ้น 290 เหรียญสหรัฐต่อตัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น 36 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในส่วนของราคา Monomer ปรับตัวลดลงในไตรมาส 3/54 เนื่องจากปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องลดลง และยังคงมีปริมาณการผลิตที่สูงในตะวันออกกลาง ทั้งราคา Ethylene เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 1,160 เหรียญสหรัฐต่อตัน ปรับตัวลดลง 131 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากไตรมาสก่อน เพิ่มขึ้น 257 เหรียญสหรัฐต่อตัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ราคา Propylene เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 1,394 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลง 93 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 332 เหรียญสหรัฐต่อตัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วน ราคา HDPE อยู่ในระดับค่อนข้างคงที่ เฉลี่ยอยู่ที่ 1,399 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 10 เหรียญสหรัฐต่อตัน และเพิ่มขึ้น 279 เหรียญสหรัฐต่อตัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ส่วนต่างราคาระหว่าง HDPE และ Naphtha เพิ่มขึ้น 47 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากไตรมาสก่อน เป็นผลมาจากการเพิ่มสินค้าคงคลังของผู้ผลิตรายย่อย และจากปริมาณความต้องการในภาคเกษตรกรรมเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ลดลง 11 เหรียญสหรัฐต่อตัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่ราคา PP ลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ 1,606 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลง 77 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากไตรมาสก่อนแต่เพิ่มขึ้น 330 เหรียญสหรัฐต่อตัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากปริมาณความต้องการที่ลดลงเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจทั่วโลกอ่อนตัวลง ส่งผลให้ส่วนต่างราคาระหว่าง PP และ Naphtha เฉลี่ยอยู่ที่ 650 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลง 40 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากไตรมาสก่อนในขณะที่เพิ่มขึ้น 40 เหรียญสหรัฐต่อตัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนปริมาณขาย Polyolefins ทั้ง PE และ PP ในไตรมาสนี้ ค่อนข้างคงที่เท่ากับ 396,000 ตันเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่ลดลง 36,000 ตัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากการปิดซ่อมโรงงาน Polymer ด้านราคา PVC ในไตรมาสนี้ เฉลี่ยอยู่ที่ 1,098 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลง 77 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากไตรมาสก่อนเนื่องจากปริมาณความต้องการลดลงตามภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่อ่อนตัวลง และการแข่งขันของสินค้าในตลาดโลกสูงขึ้น ราคาของ EDC ในไตรมาสนี้คงที่เฉลี่ยอยู่ที่ 472 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลง 67 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากไตรมาสก่อน เนื่องจากปริมาณความต้องการของกลุ่มผลิตภัณฑ์ไวนิลอ่อนตัวลง ส่วนต่างระหว่างราคา PVC และ EDC/C2 อยู่ในระดับคงที่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนเฉลี่ยอยู่ที่ 444 เหรียญสหรัฐต่อตัน และเพิ่มขึ้น 133 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ไตรมาสนี้ธุรกิจมีปริมาณขาย PVC เท่ากับ 172,000 ตันเพิ่มขึ้น 13,000 ตัน จากไตรมาสก่อน เนื่องจากปริมาณการผลิต VCM ในตลาดโลกเพิ่มขึ้น แต่ลดลง 27,000 ตัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณความต้องการ PVC ลดลง

ส่วนเอสซีจี เปเปอร์ในไตรมาสที่ 3 ปี 2554 มีรายได้จากการขาย เท่ากับ 14,298 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาของกระดาษบรรจุภัณฑ์ และปริมาณของกระดาษพิมพ์เขียนเพิ่มขึ้น โดยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนเพิ่มขึ้น 3% และมี EBITDA เท่ากับ 2,349 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน เนื่องจากราคาสินค้าในภูมิภาคลดลงตามความต้องการสินค้าที่ลดลง ในขณะที่มีผู้ผลิตเพิ่มมากขึ้น และธุรกิจมีกำไรสำหรับงวด เท่ากับ 918 ล้านบาท ลดลง 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 9% จากไตรมาสก่อน โดยปริมาณขายของกระดาษบรรจุภัณฑ์ทั้งจากฐานการผลิตในประเทศไทย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อน เป็นผลมาจากปริมาณความต้องการของสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศเพิ่มขึ้น ไตรมาสนี้ธุรกิจมีสัดส่วนปริมาณการส่งออก17% จากปริมาณการผลิตในประเทศไทย ขณะที่ช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนมีสัดส่วนอยู่ที่ 18% ราคาเฉลี่ยของกระดาษบรรจุภัณฑ์เท่ากับ 530 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้น 10 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากไตรมาสก่อน ขณะที่ราคาเศษกระดาษเท่ากับ 275 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้น 5 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากไตรมาสก่อน เป็นผลมาจากปริมาณการผลิตที่ลดลง และราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นในปลายไตรมาส เนื่องจากในอเมริกามีปริมาณความต้องการลดลงสำหรับกระดาษพิมพ์เขียน ปริมาณขายในประเทศของไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการสินค้าในกลุ่มกระดาษเพื่อการโฆษณาสูงขึ้น ในขณะที่ค่อนข้างคงที่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน สัดส่วนปริมาณการส่งออกกระดาษพิมพ์เขียนในไตรมาสนี้ คิดเป็น 25% ของปริมาณขายรวม ทั้งนี้เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ธุรกิจมีสัดส่วนการส่งออกที่ 31% โดยราคาขายของกระดาษพิมพ์เขียนในไตรมาสนี้อยู่ที่ระดับ 945 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลง 25 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากไตรมาสก่อน ส่วนราคาเยื่อกระดาษใยยาวในไตรมาสนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 840 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลง 80 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากไตรมาสก่อน เนื่องจากผู้ผลิตในประเทศจีนมีระดับสินค้าคงคลังในระดับที่เหมาะสม และราคาของสินค้าทดแทนเยื่อกระดาษในอุตสาหกรรมสิ่งทอมีแนวโน้มลดลง ในขณะที่ราคาเยื่อกระดาษใยสั้นเฉลี่ยอยู่ที่ 680 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลง90 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากไตรมาสก่อน เนื่องจากมีกำลังการผลิตมากกว่าความต้องการที่ลดลงในประเทศจีนในไตรมาสนี้

ทางด้านเอสซีจี เปเปอร์ เอสซีจี ซิเมนต์รายได้จากการขายเท่ากับ 13,768 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมี EBITDA เท่ากับ 3,193 ล้านบาท ลดลง 6% จากไตรมาสก่อน เป็นผลมาจากต้นทุน พลังงานที่สูงขึ้น แต่เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมียอดขายในประเทศเพิ่มขึ้นและราคาสินค้าส่งออกดีขึ้น ทั้งนี้ กำไรสำหรับงวดของธุรกิจในไตรมาสนี้เท่ากับ 1,848 ล้านบาท ลดลง 7% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในไตรมาสที่ 3 ปี 2554 นี้ ตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศเท่ากับ 6.8 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อนเนื่องจากปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้นของภาคธุรกิจที่พักอาศัยและการค้า ในไตรมาสนี้เอสซีจี ซิเมนต์ มีปริมาณขายปูนซีเมนต์ในประเทศเป็นไปตามสภาวะตลาดโดยรวม โดยระดับราคาของปูนซีเมนต์เทาในประเทศอยู่ที่ 1,800 บาทต่อตันปริมาณการส่งออกปูนซีเมนต์ในไตรมาสนี้ เท่ากับ 1.7 ล้านตัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

ขณะที่เอสซีจี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในไตรมาสที่ 3 ปี 2554 ตลาดอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างในประเทศยังคงมีการเติบโต เอสซีจี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขายเท่ากับ 8,913 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4%จากไตรมาสก่อน และ 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรวมผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยในต่างประเทศที่ได้ซื้อธุรกิจมาในไตรมาสก่อนคือบริษัท KIAซึ่งเป็นผู้ผลิตเซรามิคในประเทศอินโดนีเซีย ธุรกิจมี EBITDA ในไตรมาสนี้ เท่ากับ 1,404 ล้านบาท ลดลง 2% จากไตรมาสก่อน และ 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาต้นทุนพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยธุรกิจมีกำไรสำหรับงวดในไตรมาสนี้ เท่ากับ 507 ล้านบาท ลดลง 4% จากไตรมาสก่อน และ 3%% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ด้านเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น รายได้จากการขายของเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น ในไตรมาสที่ 3 ปี 2554 เท่ากับ 28,496 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากโครงการก่อสร้างบ้านพักอาศัยและธุรกิจก่อสร้าง โดย EBITDAในไตรมาสนี้ เท่ากับ 511 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 174 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนธุรกิจมีกำไรสำหรับงวดเท่ากับ 381 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 137 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ปัจจุบันเอสซีจีมีหนี้สินสุทธิ 109,147 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 4 ปี 2553 เท่ากับ 25,523 ล้านบาท ในขณะที่มีกระแสเงินสดจ่าย 57,000 ล้านบาท สำหรับรายจ่ายลงทุนและเงินลงทุน รวมถึงการจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายประจำปี 2553 และเงินปันผลระหว่างกาลปี 2554 อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA อยู่ที่ระดับ 2.2 เท่า ต้นทุนทางการเงินในช่วง 9 เดือนของปี 2554 เท่ากับ 4,346 ล้านบาท โดยมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยของไตรมาสนี้เท่ากับ 4.5% รายจ่ายลงทุนและเงินลงทุนสำหรับในช่วง 9 เดือนของปี 2554 มีมูลค่าการลงทุนเท่ากับ 27,863 ล้านบาท โดยในปี 2553 มีมูลค่าการลงทุน 18,378 ล้านบาท ทั้งนี้เอสซีจียังคงมีรายได้จากการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องและมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่งทำให้สามารถดำเนินกลยุทธ์ในการขยายการลงทุนไปยังภูมิภาคอาเซียนได้ตามเป้าหมายต่อไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ