นายขวัญชัย ณัฏฐ์เศรษฐ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.สาลี่ คัลเล่อร์(COLOR)เปิดเผยว่า จากปัญหาอุทกภัยอาจจะส่งผลกระทบต่อลูกค้าบางรายภายในประเทศ ทำให้บริษัทได้ปรับกลยุทธ์โดยหันมาขยายธุรกิจส่งออกสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศมากยิ่งขึ้น เช่น ยุโรป ญี่ปุ่น มาเลเซีย เวียดนาม เป็นต้น เพื่อชดเชยธุรกิจที่กำลังได้รับผลกระทบ และยังเป็นการผลักดันสร้างตลาดส่วนเพิ่มเพื่อรองรับกำลังผลิตที่จะเติบโตขึ้นจากโรงงานใหม่ในอนาคตอย่างมีศักยภาพ
ทั้งนี้ สัดส่วนการส่งออกของบริษัทช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 22% ซึ่งเชื่อว่าจากการรุกเจาะตลาดต่างประเทศมากขึ้นจะทำให้สัดส่วนการส่งออกปีนี้เพิ่มเป็น 25%
"แนวโน้มธุรกิจหลังจากนี้จะเป็นเช่นไรต่อไปนั้นยังต้องติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะเรื่องของภาวะน้ำท่วมและปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลกยังไม่คลี่คลายหรือมีแนวทางในการแก้ไขอย่างชัดเจน แต่เบื้องต้นภาวะน้ำท่วมยังไม่มาถึงบริเวณเทพารักษ์-บางพลีจึงไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตัวโรงงานของบริษัทแต่อย่างใด เครื่องจักรยังสามารถดำเนินการผลิตอย่างเป็นปกติ การขนส่งวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูปเข้า-ออกยังสามารถดำเนินต่อเนื่องได้สะดวก และพบว่าคำสั่งซื้อมีเพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น COLOR จึงใช้โอกาสนี้ที่จะขยายตลาดส่งออกและในประเทศบางรายเพิ่มมากขึ้นเพื่อเป็นการรองรับอนาคต"นายขวัญชัย กล่าว
นายขวัญชัย เชื่อว่าแนวโน้มอุตสาหกรรมพลาสติกจะยังคงเติบโตต่อเนื่องได้ดีตามความต้องการใช้ของผู้บริโภคหลังน้ำลดลงแล้ว และเป็นจังหวะที่ผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกำลังมีแนวโน้มแกว่งตัวขึ้นอีกครั้ง
ส่วนความคืบหน้าการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่บนพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมบางปูขนาดพื้นที่ 14 ไร่ เพื่อขยายกำลังการผลิตรองรับคำสั่งซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้นนั้น ปัจจุบัน อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าโรงงานจะเสร็จประมาณต้นปี 55 และเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ บริษัทตั้งเป้าหมายภายใน 3 ปีข้างหน้าโรงงานดังกล่าวจะมีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 60,000 ตันต่อปี จากขณะนี้ 30,000 ตันต่อปี
อนึ่ง ผลประกอบการงวด 9 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 54 ของบริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 20.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 171.4% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 7.52 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการงวดไตรมาส 3/54 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 4.29 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 5.64 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 23.27% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 22.23%