ทริสฯให้เครดิตหุ้นกู้-คงเครดิตองค์กร SGP ที่ BBB แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 26, 2012 15:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศผลอันดับเครดิตระดับ “BBB+" ให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาทของ บมจ. สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์(SGP) ในขณะเดียวกันยังประกาศยืนยันอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ “BBB+" และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันที่ระดับ “A+" พร้อมคงแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปใช้ชำระหนี้เดิมที่มีหลักประกันเป็นส่วนใหญ่

อันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะของบริษัทในการเป็นผู้ค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (Liquefied Petroleum Gas -- LPG) ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในประเทศไทย รวมถึงการมีเครือข่ายกระจายสินค้าที่แข็งแกร่ง และฐานลูกค้าที่กระจายตัวทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม การพิจารณาอันดับเครดิตดังกล่าวยังคำนึงถึงความไม่แน่นอนของกฎระเบียบและความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจที่เพิ่มขึ้นจากการที่บริษัทมีสัดส่วนการค้าก๊าซ LPG ระหว่างประเทศที่สูงขึ้นด้วย

ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาสถานะในการเป็นผู้ค้าก๊าซ LPG รายใหญ่อันดับ 2 ในประเทศไทยเอาไว้ได้ นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการเงิน

ทริสเรทติ้งรายงานว่า SGP ก่อตั้งเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2544 โดยกลุ่มตระกูลวีรบวรพงศ์ และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2551 โดย ณ เดือนสิงหาคม 2554 กลุ่มตระกูลวีรบวรพงศ์ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัทในสัดส่วน 66.7% บริษัทเป็นผู้ค้าก๊าซ LPG รายใหญ่อันดับ 2 ในประเทศไทย โดยการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยประกอบด้วยการค้าก๊าซ LPG ภายใต้ตราสัญลักษณ์ “สยามแก๊ส" และ “ยูนิคแก๊ส" ซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาดในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2554 ที่ระดับ 27.5% รองจาก บมจ.ปตท.(PTT) (39.8%)

นอกจากนี้ บริษัทยังประกอบธุรกิจค้าก๊าซแอมโมเนียและสินค้าปิโตรเคมีอื่น ๆ ด้วย บริษัทมีโครงข่ายการกระจายสินค้าทั่วประเทศที่แข็งแกร่ง โดย ณ เดือนมิถุนายน 2554 มีคลังเก็บก๊าซ LPG จำนวน 7 แห่ง โรงบรรจุก๊าซ LPG จำนวน 176 แห่ง และสถานีบริการก๊าซ LPG สำหรับยานยนต์จำนวน 422 สถานี นอกจากนี้ บริษัทยังมีระบบขนส่งก๊าซที่หลากหลาย รวมทั้งให้บริการขนส่งสินค้าทางทะเลเพื่อสนับสนุนธุรกิจค้าก๊าซ LPG ของบริษัทด้วย

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีปริมาณการค้าก๊าซ LPG ในประเทศโดยเฉลี่ย 1 ล้านตันต่อปี โดยในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2554 การค้าก๊าซ LPG สำหรับกลุ่มครัวเรือนคิดเป็น 66.7% ของปริมาณขายในประเทศ ในขณะที่กลุ่มยานยนต์คิดเป็น 23.6% และกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมคิดเป็น 9.6%

การตัดสินใจของรัฐบาลในการขึ้นราคาก๊าซ LPG สำหรับยานยนต์เป็นราคา 9 บาทต่อกิโลกรัม หรือ 4.86 บาทต่อลิตรภายใน 12 เดือนโดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 นั้นอาจจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้ก๊าซ LPG สำหรับยานยนต์ในทันทีเนื่องจากก๊าซ LPG ยังมีราคาค่อนข้างถูกกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่นยกเว้นก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (Natural Gas for Vehicle -- NGV) ซึ่งมีราคาถูกกว่าก๊าซ LPG นอกจากนี้ ผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะที่ใช้ก๊าซ NGV ยังได้รับเงินชดเชยผ่านบัตรเครดิตพลังงานด้วย อย่างไรก็ตาม จำนวนสถานีให้บริการก๊าซ NGV ยังมีจำนวนน้อยกว่าสถานีให้บริการก๊าซ LPG เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านการขนส่ง

ตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา บริษัทได้ขยายธุรกิจค้าก๊าซ LPG ไปยังหลายประเทศ ได้แก่ ประเทศจีน เวียดนาม และสิงคโปร์ โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2554 มีปริมาณการค้าก๊าซ LPG ในต่างประเทศจำนวน 430,000 ตัน คิดเป็น 32.7% ของปริมาณการค้าก๊าซ LPG ทั้งหมดของบริษัท โดยบริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนการค้าก๊าซ LPG ในต่างประเทศให้อยู่ในระดับ 50% ของยอดขายรวมภายในปี 2557 โดยภายหลังจากการซื้อหุ้น 100% ใน BP Zhuhai LPG Co., Ltd. ในเดือนธันวาคม 2553 และ 100% ใน Chevron Ocean Gas & Energy Ltd. ในเดือนมิถุนายน 2554 แล้ว บริษัทจะใช้คลังเก็บก๊าซ LPG รวมทั้งสิ้น 300,000 ตันในประเทศจีนเป็นฐานสำหรับการค้าก๊าซทั้งในประเทศจีนและประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

แม้ว่าการซื้อกิจการในต่างประเทศจะเป็นการเปิดโอกาสทางธุรกิจ แต่ก็เป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้แก่บริษัทมากขึ้นจากสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่ไม่คุ้นเคยในประเทศเหล่านั้นและความผันผวนของราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลก

บริษัทมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตาม สถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงเนื่องจากการขยายการลงทุนอย่างรวดเร็วในช่วงปี 2553-2554 ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2554 บริษัทมีปริมาณการขายก๊าซ LPG เพิ่มขึ้น 48.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 74.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งเป็นผลมาจากการค้าก๊าซ LPG ในต่างประเทศเป็นหลัก

อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ลดลงเป็น 4.6% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2554 จาก 9.5% ในปี 2553 เนื่องจากการขาดทุนจากสินค้าคงเหลือและการมีค่าใช้จ่ายสำหรับกิจการในต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการแข่งขันการค้าก๊าซ LPG สำหรับกลุ่มยานยนต์ที่ทวีความรุนแรง การซื้อกิจการในช่วงปี 2553-2554 และการเพิ่มระดับสินค้าคงคลังสำหรับธุรกิจในต่างประเทศส่งผลให้บริษัทมีเงินกู้รวมเพิ่มเป็น 10,004 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นเป็น 59.5% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 ทั้งนี้ คาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นหลังจากการลงทุนในโครงการต่างประเทศสร้างผลตอบแทนให้แก่บริษัทอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ