นายศุภชัย วีรบวรพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์(SGP)เปิดเผยว่า จากการประเมินทิศทางธุรกิจของบริษัทฯในปีนี้ มีความเป็นไปได้ที่รายได้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 50,000 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 30% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่มีรายได้ประมาณ 38,594 ล้านบาท โดยปัจจัยสนับสนุนหลักๆ จะมาจากธุรกิจที่ได้ลงทุนไว้ในประเทศจีนสามารถสร้างรายได้เต็มปีในปีนี้ และทำให้สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศปีนี้ เพิ่มเป็น 60% จากปีก่อนอยู่ที่ 43%
สำหรับบริษัทย่อยในจีน ประกอบด้วยบริษัทไซโน สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด ที่เมืองจูไห่ และบริษัทสยาม โอเชี่ยน แก๊ส แอนด์ เอนเนอยี่ จำกัด ที่เมืองซัวเถา ซึ่งมีคลัง (ถ้ำ) ที่สามารถเก็บแก๊สแอลพีจี รวมกันได้ถึง 300,000 ตัน ถือว่าใหญ่ที่สุดในประเทศจีนและในเอเชียตะวันออก ทำให้บริษัทฯ มีความยืดหยุ่นสูงในการบริหารจัดการคลังแก๊สแอลพีจีให้สอดคล้องกับการขึ้นลงของราคาในตลาดโลก และความต้องการของลูกค้า
“ถึงแม้ราคาแอลพีจีในตลาดโลกจะยังคงผันผวนอยู่บ้าง แต่คาดว่าราคาโดยเฉลี่ยในปีนี้จะสูงกว่าระดับ 900 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐต่อตัน เทียบกับปีที่ผ่านมาที่มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 800 กว่าเหรียญดอลล่าร์สหรัฐต่อตัน ซึ่งจะส่งผลให้กำไรจากการจำหน่ายแก๊สในต่างประเทศมีทิศทางที่ดีขึ้นด้วย โดยคาดว่าในปีนี้สัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศจะเพิ่มเป็น 60% จากปีที่ผ่านมาที่มีสัดส่วนประมาณ 43%" นายศุภชัย กล่าว
สำหรับแนวโน้มความต้องการของตลาดแก๊สแอลพีจีในประเทศปีนี้นั้น คาดว่าจะมีความต้องการเพิ่มสูงขึ้น 9-10% แม้ว่าภาครัฐจะมีนโยบายทยอยปรับราคาแอลพีจีภายในประเทศเพิ่มขึ้น เพื่อสะท้อนราคาในตลาดโลก โดยที่ผ่านมาภาครัฐได้ประกาศปรับราคาแอลพีจีในภาคอุตสาหกรรมและภาคขนส่งไปแล้ว แต่ปริมาณการใช้งานกลับพบว่า ยังมีอัตราความต้องการเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากต้นทุนพลังงานของแอลพีจียังถือเป็นพลังงานที่มีต้นทุนที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับพลังงานชนิดอื่นๆ
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนขยายสถานีให้บริการแก๊สแอลพีจีในปีนี้เพิ่มขึ้นอีก 10 สาขา โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท รองรับความต้องการใช้แก๊สแอลพีจีในภาคขนส่งที่มีความต้องการใช้มากขึ้น หลังจากแนวโน้มของราคาน้ำมันในตลาดโลกมีสัญญาณการปรับตัวที่สูงขึ้น โดยคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีสถานบริการก๊าซแอลพีจีของบริษัทฯ รวมทั้งสิ้นกว่า 40 แห่ง
นายศุภชัย กล่าวว่า แนวคิดปรับราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนของกระทรวงพลังงาน เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณความต้องการใช้แอลพีจีในภาคครัวเรือน ซึ่งมีสัดส่วนปริมาณการใช้คิดเป็น 60% ของตลาดแอลพีจีโดยรวม นอกจากนี้ กลุ่มร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าและห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ยังมีความต้องการใช้แก๊สแอลพีจีสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายสาขาห้างสรรพสินค้าและห้างค้าปลีกขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น ประกอบกับพฤติกรรมของผู้บริโภคคนไทยที่นิยมรับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น