ทริสฯให้เครดิตหุ้นกู้มีประกัน"อีซี่ บาย"ที่ BBB+ แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday March 15, 2012 14:19 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จัดอันดับเครดิตระดับ “BBB+" ให้แก่หุ้นกู้มีการค้ำประกันของบมจ. อีซี่ บาย (มหาชน) ในวงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาท ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" จาก “Negative" หรือ “ลบ"

และจัดอันดับเครดิตระดับ “BBB" ให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันของบริษัทในวงเงินไม่เกิน 500 ล้านบาท ด้วยแนวโน้ม “Positive" หรือ “บวก" พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ “BBB" และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “BBB+" โดยแนวโน้มยังคง “Positive" หรือ “บวก"

อันดับเครดิตองค์กรสะท้อนถึงฐานะทางการเงินและคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นของบริษัทในช่วงปี 2551 ถึงปี 2554 และสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจสินเชื่อเพื่อการบริโภคที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกจำกัดด้วยฐานะทางเครดิตที่อ่อนแอลงของบริษัทแม่ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือ ACOM Co., Ltd. (ACOM) จากความเสี่ยงของกลุ่มลูกค้าที่มีความอ่อนไหวต่อภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการแข่งขันทางธุรกิจที่รุนแรง ปัจจัยเหล่านี้อาจจำกัดการเติบโตทางธุรกิจและการทำกำไร รวมถึงอาจทำให้คุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทถดถอยลงในอนาคต

ส่วนแนวโน้มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกัน “Positive" หรือ “บวก" สะท้อนถึงผลประกอบการของบริษัท อีซี่ บาย ที่ดีขึ้นโดยเป็นผลมาจากคุณภาพของสินทรัพย์ที่ดีขึ้นและการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ระมัดระวัง โดยบริษัทสามารถทำกำไรที่แข็งแกร่งในปี 2553 และปี 2554 ซึ่งทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเติบโตและทำให้อันดับเครดิตของบริษัทแข็งแรงขึ้น ในกรณีที่ไม่มีการเพิ่มทุน ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะไม่มีนโยบายปันผลสูงอันจะลดทอนส่วนของผู้ถือหุ้นลงในอนาคต

ในขณะที่อันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันสะท้อนถึงฐานะการเงินที่อ่อนแอลงของ ACOM ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันหุ้นกู้ของบริษัท ทั้งนี้ฐานะการเงินของ ACOM อ่อนแอลงตั้งแตปี 2552 เนื่องจากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นทั้งสำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และสำหรับใช้คืนแก่ลูกค้าที่จ่ายดอกเบี้ยไว้เกินตามผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบตามกฎหมาย “Money Lending Business Law" ในประเทศญี่ปุ่น และภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจน้อยลง อันดับเครดิตของ ACOM ในปัจจุบันอยู่ในระดับ “BB+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" ซึ่งจัดโดย Standard & Poor’s (S&P)

ส่วนแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" สำหรับอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันของบริษัทอีซี่ บาย ที่เปลี่ยนจาก “Negative" หรือ “ลบ" สะท้อนถึงฐานะทางการเงินของ ACOM ที่เข้มแข็งขึ้นในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2555 และแนวโน้มอุตสาหกรรมการให้สินเชื่อเพื่อผู้บริโภคของประเทศญี่ปุ่นที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น นอกจากนี้ แรงกดดันต่อผลประกอบการทางการเงินก็ลดลงเนื่องจากแนวโน้มที่ลดลงของค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองทั้งสำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และการคืนเงินแก่ลูกค้าที่จ่ายดอกเบี้ยไว้เกิน ทั้งนี้ การทบทวนอันดับเครดิตตราสารหนี้อาจมีการพิจารณาใหม่เมื่อทริสเรทติ้งเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงในการสนับสนุนที่ ACOM จะได้รับจาก Mitsubishi UFJ Financial Group (MUFG) ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น

ตามเงื่อนไขสัญญาการค้ำประกันที่กำหนดภายใต้กฎหมายของประเทศญี่ปุ่น บริษัทแม่ผู้ค้ำประกันจะให้การค้ำประกันเต็มจำนวนแก่หุ้นกู้ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตดังกล่าวอย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่สามารถเพิกถอนได้หากบริษัทอีซี่ บายไม่สามารถชำระเงินได้ตามกำหนด ในกรณีที่บริษัทถูกฟ้องล้มละลายและมีการจ่ายคืนหนี้แก่ผู้ถือหุ้นกู้แต่หนี้นั้นถูกเรียกคืน ภาระการชำระหนี้ดังกล่าวจะตกเป็นของบริษัทแม่ผู้ค้ำประกันและจะมีผลในการชำระหนี้ทันที

นอกจากนี้ หาก ACOM มีการควบรวมกิจการ บริษัทใหม่ที่เกิดขึ้นหลังการควบรวมกิจการจะต้องรับภาระผูกพันในการค้ำประกันหุ้นกู้ดังกล่าวด้วย หาก ACOM ไม่สามารถจ่ายชำระได้ตามกำหนดหลังจากได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้ว ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้สามารถดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ค้ำประกัน ณ ศาลพาณิชย์ในประเทศญี่ปุ่นเพื่อฟ้องร้องเรียกเงินที่ผิดนัดชำระคืนได้ ภาระผูกพันของผู้ค้ำประกันภายใต้สัญญาการค้ำประกันนี้จะมีลำดับของสิทธิเรียกร้องเท่าเทียมกับหนี้ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิอื่นๆ ของผู้ค้ำประกัน

ทริสเรทติ้ง รายงานว่า ACOM แจ้งผลกำไรสุทธิทั้งสิ้น 42 พันล้านเยนในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2555 (สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2555) เนื่องจากการลดลงอย่างมากของการกันสำรองเพิ่มจากการที่ผู้กู้สามารถขอดอกเบี้ยที่จ่ายเกินไปก่อนหน้านี้คืน และการลดลงของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ส่งผลให้ผลกำไรดีขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับผลขาดทุนสุทธิถึง 203 พันล้านเยนในปีงบประมาณ 2554 (สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2554)

ณ เดือนธันวาคม 2554 สินเชื่อรวมของบริษัทอีซี่ บาย มีจำนวน 67 พันล้านเยน คิดเป็นสัดส่วน 7% ของสินเชื่อรวมของ ACOM บริษัทอีซี่ บายเป็นบริษัทย่อยแห่งแรกในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ของ ACOM และมีความสำคัญเชิงกลยุทธ์สำหรับ ACOM ในการเป็นผู้ประกอบการให้สินเชื่อเพื่อการบริโภครายสำคัญในภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ ACOM ยังมีพันธะสัญญาที่เหนียวแน่นกับบริษัทในการให้การสนับสนุนทั้งในด้านการเงินและธุรกิจอันได้แก่ การถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้ทางธุรกิจที่ใช้ในทางปฏิบัติด้วย

การมีประสบการณ์เกือบ 15 ปีส่งผลให้บริษัทมีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี ในขณะที่การสนับสนุนทางการเงินและธุรกิจอย่างเต็มที่จาก ACOM ก็เป็นปัจจัยสำคัญต่อฐานะทางการตลาดและการเติบโตของบริษัทในอนาคต แม้ว่าลักษณะของธุรกิจจะมีการกระจายความเสี่ยงอยู่แล้วจากการปล่อยสินเชื่อต่อรายในจำนวนไม่มากให้แก่ลูกค้ารายย่อยจำนวนมาก แต่บริษัทก็ยังคงมีความเสี่ยงทางด้านเครดิตเนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่มีความเสี่ยงมากกว่ากลุ่มลูกค้าของธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ บริษัทยังมีความเสี่ยงด้านกฎระเบียบเนื่องจากภาครัฐให้ความสำคัญในการปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคมากขึ้น

ตั้งแต่ปี 2551 คุณภาพสินทรัพย์ของบริษัท อีซี่ บาย ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสินเชื่อค้างชำระมากกว่า 3 เดือนต่อสินเชื่อรวมลดลงจาก 5.62% ในปี 2550 เป็น 2.14% ในปี 2554 ในขณะที่สัดส่วนหนี้สูญตัดบัญชีสุทธิต่อสินเชื่อรวมถัวเฉลี่ยก็ลดลงจาก 13.22% ในปี 2552 เป็น 9.29% ในปี 2553 และเป็น 6.73% ในปี 2554 บริษัทรับรู้ผลขาดทุนเพียงเล็กน้อยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 จากผลกระทบของอุทกภัยครั้งใหญ่ในประเทศไทย เนื่องจากบริษัทได้ปรับฐานลูกค้าจากกลุ่มผู้ทำงานในโรงงานมาเป็นกลุ่มผู้ทำงานในตึกสำนักงานตั้งแต่ปี 2552 บริษัทได้นำความรู้ในการดำเนินธุรกิจและเครื่องมือบริหารความเสี่ยงต่างๆ จาก ACOM มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพตลาดของไทย ไม่ว่าจะเป็นแบบจำลองการให้คะแนนความน่าเชื่อถือของลูกค้า (Credit Scoring) ที่ทันสมัย การบริหารร้านค้าเครือข่ายและฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงมาตรฐานและขั้นตอนการติดตามจัดเก็บหนี้เพื่อใช้ควบคุมคุณภาพสินทรัพย์

บริษัท อีซี่ บาย มีฐานะทางการเงินที่เข็มแข็งขึ้นหลังปี 2550 จนบริษัทเริ่มกลับมามีกำไร โดยในปี 2551 มีกำไรสุทธิ 310 ล้านบาทในปี 2552 เพิ่มเป็น 329 ล้านบาท ในปี 2553 เป็น 925 ล้านบาท และในปี 2554 เป็น 1,310 ล้านบาท การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องเป็นผลมาจากการขยายจำนวนสินเชื่อส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่อง โดยมีการควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและการปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงต่ำลง การมีกำไรที่แข็งแกร่ง ในขณะที่มีการจ่ายเงินปันผลไม่มากทำให้บริษัทมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งขึ้น โดยอัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นจาก 5.70% ในปี 2550 เป็น 10.58% ในปี 2553 และ 14.53% ในปี 2554 ในขณะเดียวกัน อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทก็ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเช่นกันจาก 14 เท่าในปี 2551 เป็น 6 เท่าในปี 2554


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ