นายพิเชษฐ์ บุญยภักดี รองกรรมการผู้จัดการสายบัญชี และการเงิน บมจ.เอ็ม ลิ้งค์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น (MLINK) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุม้ติเห็นชอบให้นำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติการขายสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับบริษัท พอร์ทัลเน็ท จำกัด (PTN) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้แก่ หุ้นสามัญทั้งหมดของ PTN ที่บริษัทฯ ถืออยู่จำนวน 999,940 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 99.99 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วในปัจจุบันของ PTN รวมทั้งหุ้นใหม่ของ PTN ที่จะมีการเพิ่มทุน และเงินกู้ที่ PTN มีกับสถาบันการเงิน เจ้าหนี้การค้าต่าง ๆ และบริษัทฯ รวมเป็นเงินทั้งสิ้นไม่เกิน 1,552 ล้านบาท ให้แก่บมจ. สามารถเทลคอม (SAMTEL)
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีผลตอบแทนที่อาจจะได้รับเพิ่มเติมในอนาคตอีกไม่เกิน 900 ล้านบาท ดังนั้น มูลค่ารวมของการทำรายการทั้งหมดเท่ากับไม่เกิน 2,452 ล้านบาท
การเข้าทำรายการดังกล่าวจะขออนุมัติต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นด้วยคะแนนเสียงไม่ต่ำกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นหรือผู้รับมอบฉันทะ (ถ้ามี) ที่มาประชุมและมี สิทธิออกเสียงลงคะแนน โดยบริษัทฯ จะจัดส่งหนังสือเชิญประชุมผู้ถือหุ้นพร้อมความเห็นของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระให้แก่ผู้ถือหุ้น เป็นระยะเวลาล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 14 วันก่อนวันประชุมผู้ถือหุ้น
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2555 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 27 เมษายน 2555 เพื่อพิจารณาอนุมัติการขายสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับบริษัท พอร์ทัลเน็ท จำกัด และแต่งตั้งบริษัท แคปปิตอล ลิ้งค์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระในการให้ความเห็นต่อผู้ถือหุ้น โดยบริษัทฯ คาดว่าจะทำรายการแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 3/55
ความจำเป็นต้องขายพอร์ทัลเน็ท เริ่มจากบริษัทฯ เริ่มลงทุนใน PTN เมื่อปี 2546 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการประมูลงานโครงการของภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวกับการพัฒนาระบบงานทางด้านคอมพิวเตอร์ ติดตั้งเครือข่ายคอมพิวเตอร์ รวมถึงเป็นที่ปรึกษาทางด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ
เมื่อปี 2546 PTN ได้รับมอบหมายจากบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ให้เป็นผู้ดำเนินโครงการ Pay Phone TOT และเมื่อปี 2547 PTN ได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มกิจการค้าร่วม บริษัท ซีเมนส์ จำกัด บริษัท ซีเมนส์ เอจี จำกัด บริษัท ไอบีเอ็ม (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท พอร์ทัลเน็ท จำกัด (กลุ่มกิจการค้าร่วม SPIES)และได้ร่วมลงนามตามสัญญากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในโครงการเช่าระบบคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปสำหรับธุรกิจหลักจำนวน 9 ระบบงาน (Module) มีอายุสัญญา 8 ปี โดยมีระยะเวลาติดตั้งภายใน 3 ปี และระยะเวลาเช่า 5 ปี มูลค่าโครงการทั้งสิ้น 3,192 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี เนื่องจาก กฟภ. ไม่สามารถส่งมอบข้อมูลที่ครบถ้วนและถูกต้องสมบูรณ์ (Clear Data) ได้ตามแผนงาน ส่งผลให้กลุ่มกิจการค้าร่วม SPIES ไม่สามารถส่งมอบงานได้ตามกำหนด โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาตรวจรับระบบงานจาก กฟภ.จากความล่าช้าส่งผลให้ PTN ประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจหลายด้าน เช่น การมีต้นทุนที่เกินงบประมาณ (Costs Overrun) เป็นจำนวนมาก
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2554 PTN บันทึกงานระหว่างทำเพื่อให้เช่าในราคาทุนเท่ากับ 3,930 ล้านบาท (สุทธิ หลังหักค่าเผื่อการด้อยค่าเท่ากับ 3,117 ล้านบาท) มีผลขาดทุน 825.89 ล้านบาท ขาดทุนสะสม 1,087.12 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ 987.12 ล้านบาท และ การผิดนัดชำระเงินกู้ยืมกับธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2554 มีหนี้สินที่ครบกำหนดชำระเป็นจำนวน 1,312.73 ล้านบาท และมีการบันทึกดอกเบี้ยในอัตราผิดนัดชำระหนี้
และภาระผูกพันจากค่าปรับตามสัญญาเนื่องจากไม่สามารถส่งมอบงานได้ตามกำหนดในอัตราร้อยละ 0.15 ของราคาค่าเช่า (วันละ 4.788 ล้านบาท) นับตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2551 จนถึงวันที่ดำเนินการตามสัญญาแล้วเสร็จ โดยปัจจุบันกลุ่มกิจการค้าร่วม SPIES อยู่ในระหว่างการขอขยายระยะเวลาการส่งมอบงานและงดเว้นค่าปรับจากกฟภ.
ดังนั้น คณะกรรมการบริษัทฯ จึงพิจารณาและอนุมัติให้ขายสินทรัพย์ที่เกี่ยวกับ PTN เพื่อลดความสูญเสียทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นการขาย PTN จะทำให้บริษัทฯ ได้รับค่าตอบแทนจากการทำรายการมูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 2,452 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่บริษัทฯ จะได้รับแน่นอนเมื่อการขายหุ้นแล้วเสร็จจำนวน 1,252 ล้านบาท และเมื่อการวินิจฉัยเรื่องค่าปรับจากการส่งมอบงานล่าช้าของกฟภ. มีความชัดเจนอีกไม่เกิน 300 ล้านบาท ส่วนอีก 900 ล้านบาท หากเป็นไปตามเงื่อนไขในบันทึกข้อตกลงจะซื้อจะขายกิจการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับบริษัทฯ มากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจาก PTN ที่ปัจจุบันมีต้นทุนของโครงการสูงกว่ามูลค่าของโครงการ